หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

Canon Wireless File Transmitter


Canon Wireless File Transmitter
อุปกรณ์ส่งไฟล์ไร้สายรุ่นใหม่จาก Canon

Canon เปิดตัวอุปกรณ์ Wireless File Transmitter รุ่นใหม่ 2 รุ่น WFT-E2 II และ WFT-E4 II ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับ ช่างภาพที่ใช้ระบบเน็ตเวิร์คทั้งแบบสายและไร้สาย

อุปกรณ์ส่งไฟล์ไร้สายรุ่น WFT-E2 II ออกแบบมาใหม่สำหรับใช้กับกล้อง EOS 1D Mark IV และรุ่น WFT-E4 II ออกแบบมา สำหรับกล้องรุ่น EOS 5D Mark II ช่างภาพสามารถส่งไฟล์ภาพเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์หรือเซิฟเวอร์ได้อย่างปลอดภัย รวมทั้ง สามารถควบคุมการทำงานของตัวกล้องผ่านระบบ WiFi ได้โดยตรง

ส่งไฟล์ภาพได้อย่างปลอดภัย
ส่งไฟล์ภาพจากกล้องเข้าสู่คอมพิวเตอร์ ฮาร์ดดิสก์ภายนอก หรือเซิฟเวอร์ ได้อย่างง่ายดายและปลอดภัย อุปกรณ์ส่งไฟล์ไร้สายทั้ง WFT-E2 II และ WFT-E4 II รองรับการเข้ารหัสรักษาความปลอดภัยขั้นสูง WPA2-PSL และ AES ของระบบเน็ตเวิร์คไร้สาย โดยมีการเข้ารหัส IPsec เป็นระบบมาตรฐาน ทั้งระบบเน็ตเวิร์คแบบสายและไร้สาย เพื่อให้แน่ใจว่าช่างภาพทุกคนจะถูก ปกป้องรหัส IP ส่วนตัว

ถ่ายภาพด้วยระบบรีโมท
WFT-E2 II และ WFT-E4 II ให้ช่างภาพติดต่อสื่อสารกับตัวกล้องด้วยระบบรีโมท ด้วยการใช้งานผ่านทางโปรแกรม EOS Utility ช่างภาพสามารถเข้าถึงและควบคุมการทำงานของกล้องผ่านทางระบบเน็ตเวิร์ค ช่างภาพสามารถสั่งถ่ายภาพ ซึ่งถือว่าเป็นฟังก์ชั่น หลักที่ใช้งานกันในสตูดิโอภ่ายภาพ โดยช่างภาพสามารถปรับควบคุมกล้องในระบบแมนวล สามารถพรีวิวภาพถ่ายบนหน้าจอ คอมพิวเตอร์ และช่างภาพกีฬาก็สามารถควบคุมกล้องหลายๆ ตัวพร้อมกัน เพื่อให้ได้ภาพถ่ายในหลายมุมที่ต้องการ

ระบบ WFT เซิฟเวอร์รองรับการทำงานของ Java บราวเซอร์ ช่างภาพสามารถแก้ไข้ค่าการทำงานของกล้อง เช่น ความไวแสง รูรับแสง ความเร็วชัตเตอร์ ผ่านทางเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ไร้สาย เช่น PDA หรือ Smartphone ทำให้ช่างภาพสามารถ ควบคุมกล้องได้ขณะเดินทาง กล้องหนึ่งตัวสามารถรองรับการเข้าถึงของคอมพิวเตอร์ได้ถึงสามเครื่อง หรือจากอุปกรณ์มือถือ

ระบบส่งไฟล์ไร้สายยังสามารถถ่ายภาพด้วยระบบรีโมท สำหรับช่างภาพที่ต้องการภาพถ่ายในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยฟังก์ชั่น Link shooting ที่สามารถตั้งกล้องเป็น Master และ Slave โดยกล้องที่เป็นมาสเตอร์จะสั่งให้กล้องที่ถูกตั้งเป็นสเลฟถ่ายภาพจาก ระยะไกลได้ถึง 100 เมตร รองรับกล้องสเลฟได้ถึง 10 ตัว สำหรับการถ่ายภาพกีฬา ภาพสัตว์ป่าจากหลายๆ มุมในคราวเดียวกัน

การเชื่อมต่อ
WFT-E2 II และ WFT-E4 II เชื่อมต่อได้ทั้ง WiFi Protected Set-up (WPS) หรือ Alternative ที่มีขั้นตอนแนะนำวิธีการเชื่อมต่อ เข้ากับระบบเน็ตเวิร์คแบบ step-by-step ได้กับทุกเน็ตเวิร์คที่อยู่ในรัศมีการทำงาน พร้อมกับทำงานภายใต้มารตรฐาน 802.11b และ 802.11a ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานที่ใช้ในการแข่งกีฬาที่สำคัญ เช่น กีฬาโอลิมปิค ที่มีการเชื่อมต่อเข้ากับระบบ Ethernet LAN ซึ่งเป็นระบบเน็ตเวิร์คระบบสายความเร็วสูง

พอร์ตยูเอสบี ช่วยให้ช่างภาพสามารถเชื่อมต่อเข้าอุปกรณ์บลูธูท สำหรับใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ GPS เพื่อการบันทึกข้อมูลพิกัดของ ภาพถ่าย และยังสามารถเชื่อมต่อเข้ากับฮาร์ดดิสก์แบบ external เพื่อการจัดเก็บภาพถ่ายลงฮาร์ดดิสก์ได้อย่างรวดเร็ว

Canon EOS 1D Mark IV


Canon EOS 1D Mark IV
กล้องดิจิตอลซีรี่ส์ 1D เร็ว แรง ความละเอียดสูง

Canon เปิดตัวกล้องรุ่นใหม่ EOS-1D Mark IV สำหรับช่างภาพอาชีพที่ต้องการความรวดเร็ว กล้องถูกออกแบบให้ทำงานได้อย่าง รวดเร็วเพื่อการบันทึกภาพอย่างฉับไว ทันสถานะการณ์ อาทิ ภาพเคลื่อนไหว ภาพกีฬา ภาพงานแถลงข่าว และภาพสัตว์ป่า กล้อง Canon EOS-1D Mark IV มีทั้งความเร็ว ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม และความละเอียดสูง จึงเป็นกล้องสำหรับช่างภาพที่ต้องการ กล้องที่มีความทนทาน ทำงานฉับไว ภายใต้สถานะการณ์ที่ต้องแข่งกับเวลา

กล้อง Canon EOS-1D Mark IV ใช้อิมเมจเซ็นเซอร์แบบ APS-H ที่มีความละเอียดสูง 16.1 ล้านพิกเซล จุดออโต้โฟกัส 45 จุด และจุดโฟกัสความเร็วสูงแบบกากบาท 39 จุด ที่ F2.8 ให้ความแม่นยำในการโฟกัสครอบคลุมพื้นที่เฟรมภาพ ระบบประมวลผล แบบคู่ DIGIC 4 พลังสำหรับการถ่ายภาพต่อเนื่อง สามารถ่ายภาพความละเอียดสูงได้ 10 เฟรมต่อวินาที พร้อมความไวแสงที่สูง

กระบวนการออกแบบและผลิต EOS-1D Mark IV ได้นำข้อคิดเห็นจากกลุ่มช่างภาพ และนำมาสร้างเป็นกล้องที่ตรงกับความ ต้องการ จนได้กล้องที่มีอิมเมจเซ็นเซอร์แบบ CMOS รุ่นใหม่ ระบบประมวลผลภาพแบบคู่ DIGIC 4

ความไวแสงสูง, จุดโฟกัสแบบกากบาท บันทึกภาพด้วยความเร็วสูง
กล้อง EOS 1D Mark IV มีจุดออโต้โฟกัส 45 จุด พร้อมด้วยจุดโฟกัสความเร็วสูงแบบกากบาท 39 จุด เมื่อใช้รูรับแสงที่ F2.8 ครอบคลุมพื้นที่แนวกว้างของเฟรมภาพ ทำให้โฟกัสทั้งสิ่งที่อยู่นิ่งหรือสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็น จุดโฟกัสจุดไหน ผู้ใช้สามารถเลือกใช้งานได้ทั้ง 45 จุด

พลังจากระบบประมวลผลคู่ของ DIGIC 4 และ CMOS
การรวมพลังระหว่างอิมเมจเซ็นเซอร์แบบ APS-H CMOS ความละเอียด 16.1 ล้านพิกเซล และระบบประมวลผลคู่ DIGIC 4 ทำให้ได้ภาพที่มีความคมชัดพร้อมกับความรวดเร็ว

ระบบประมวลผล DIGIC 4 แบบคู่ ที่ช่วยให้การถ่ายภาพต่อเนื่องเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยระบบส่งข้อมูลออก 8 แชนเนล สามารถ ถ่ายภาพต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงที่ความละเอียด 16.1 ล้านพิกเซล พร้อมเก็บรายละเอียดสีแบบ 14 บิต

ถ่ายภาพได้ด้วยความเร็ว 10 ภาพต่อวินาที โดยไม่มีการลดความละเอียดของภาพลง ทำให้กล้อง EOS 1D Mark IV เป็นกล้องรุ่น ที่ถ่ายภาพได้ด้วยความเร็วสูงที่สุด ในบรรดากล้อง DSLR ของ Canon ที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยสามารถถ่ายภาพต่อเนื่อง 121 ภาพ สำหรับไฟล์ JPEG Large หรือ 28 ภาพต่อเนื่องสำหรับไฟล์ RAW เมื่อใช้เมโมรีการ์ดแบบ UDMA 6 รองรับการทำงานกับเมโมรี การ์ดแบบ UDMA 6 มาตณฐานล่าสุด และเมโมรีการ์ดแบบ SD/SDHC

EOS 1D Mark IV มาพร้อมกับพิคเจอร์สไตล์อัพเดคล่าสุด และได้นำเอา Auto Lighting Optimizer มาใส่ไว้ในกล้องระดับโปร เป็นครั้งแรก เพื่อช่วยจัดการกับคอนทราสต์และความสว่างของภาพถ่ายให้โดยอัตโนมัติ ได้ภาพถ่ายที่พร้อมใช้งานได้ทันที จากตัวกล้อง ช่วยเพิ่มความรวดเร็วในขั้นตอนการทำงานของกระบวนการผลิตข่าว ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการรีทัชภาพ

ขุมพลังในสภาพแสงน้อย
EOS 1D Mark IV มีความไวแสงแบบมาตรฐานระหว่าง 100 - 12,800 พร้อมด้วยแบบขยายระหว่าง 50 - 102,400 ซึ่งเป็น ความไวแสงสูงที่ไม่เคยมีมาก่อนในกล้อง Canon ด้วยความไวแสงที่สูงทำให้สามารถ ถ่ายภาพในช่วงเย็น หรือในสถานที่ที่แทบ ไม่มีแสง จนแทบไม่มีทางที่จะถ่ายภาพได้เลย

ระบบลด Noise แบบอัจฉริยะ ที่ทำให้ทั้ง chroma และ luminance noise เหลือน้อยที่สุด โดยที่ยังคงความสมดุลย์ของสี และไม่ทำให้ คุณภาพโดยรวมทั้งหมดของภาพเสียไป อิมเมจเซ็นเซอร์รุ่นใหม่มีช่องว่างระหว่าง microlens น้อยลง ช่วยเพิ่มความไวแสง เซลล์รับแสงที่มีความจุมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย

โครงสร้างที่แข็งแกร่ง กันน้ำ
EOS 1D Mark IV มีบอดี้ทำจากแมกนีเซียมอัลลอย ที่ทนทานต่อแรงกระแทก พร้อมการออกแบบใหม่ในบางจุด ปุ่มที่ออกแบบ ให้มีรูปทรงใหม่ ให้มีเสียงคลิ้กเมื่อกด เพื่อทำให้การใช้งานง่ายขึ้น และระบบซีลกันน้ำที่มียางซีลกันน้ำกันฝุ่นถึง 76 จุด รอบบริเวณปุ่มและรอยตะเข็บ ช่วยให้ป้องกันฝุ่นและน้ำเมื่อใช้ร่วมกับเลนส์ EF และแฟลช EX ที่มีระบบกันน้ำ

จอแอลซีดี Clear View II ความละเอียดสูง 920,000 พิกเซล สำหรับการดูภาพและวิดีโอที่ถ่าย หน้าจอที่มีแสงสะท้อนน้อย ช่วยให้ มองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน หน้าจอรุ่นใหม่ใช้กระจกแทนอะครีลิก ทำให้มีความทนทาน ป้องกันรอยขีดข่วนที่จะเกิดขึ้น บนหน้าจอได้ดีกว่าเดิม

ถ่ายภาพยนต์และวิดีโอแบบ Hi-Def
นอกจากภาพนิ่งความละเอียดสูงแล้ว EOS 1D Mak IV ยังมีฟีเจอร์ในการถ่ายวิดีโอ สามารถบันทึกภาพวิดีโอ ความละเอียด 1080p (HD) ที่ 30, 25 และ 24 เฟรมต่อวินาที และความละเอียด 720p ที่ 60 และ 50 เฟรมต่อวินาที รองรับได้ทั้งระบบ PAL และ NTSC พร้อมด้วยภาพวิดีโอ 1080/24 ซึ่งเป็นเฟรมเรตแบบเดียวกับที่ใช้ในการถ่ายภาพยนต์ ตัวกล้องสามารถใช้ระบบแมนวลได้ เต็มรูปแบบ เพื่อการถ่ายภาพยนต์และการถ่ายภาพ ที่ต้องการควบคุมควบชัดลึก

EOS 1D Mark IV สามารถตั้งโปรแกรมให้กับปุ่ม เพื่อเข้าสู่โหมดถ่ายวิดีโอได้อย่างรวดเร็ว ให้ช่างภาพเลือกบันทึกภาพวิดีโอแบบ HD ได้ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว พร้อมด้วยช่องสัญญาณ mini HDMI เพื่อการรับชมภาพวิดีโอและภาพนิ่งบนจอทีวีได้โดยตรง

EOS 1D Mark IV มีระบบให้ผู้ใช้ตั้งค่าการทำงานขั้นสูง ทำให้ช่างภาพสามารถใช้ฟีเจอร์ต่างๆ ของกล้องได้อย่างเต็มที่ ทั้งระบบ การคำนวณค่าแสงอัตโนมัติ และระบบคำนวณแสงแฟลชอัตโนมิติ ที่สามารถปรับได้อย่างละเอียด เพื่อการปรับแต่งค่าการทำงาน ของกล้องสองตัวให้เหมือนกัน เพื่อให้เหมาะสมกับสไตล์การใช้งานของแต่ละคน โปรไฟล์ของกล้องที่ตั้งค่าเอาไว้ สามารถบันทึกลง เมโมรีการ์ด แล้วโหลดเข้ากล้องอีกตัวได้ทันทีหากต้องการ

ปกป้องภาพถ่าย ด้วยฟีเจอร์การเพิ่มข้อมูลเกี่ยวลิขสิทธิ์โดยตรงในตัวกล้อง ทำให้ช่างภาพสามารถฝังข้อมูลรายละเอียดด้านลิขสิทธิ์ ลงไปในภาพถ่ายทุกภาพที่ถ่าย พร้อมด้วยไมโครโฟนภายในตัวกล้อง สำหรับการบันทึกเสียงเป็นรายละเอียดสั้นๆ เกี่ยวกับ ภาพถ่าย

Canon EOS 1D Mark IV


Canon EOS 1D Mark IV
กล้องดิจิตอลซีรี่ส์ 1D เร็ว แรง ความละเอียดสูง

Canon เปิดตัวกล้องรุ่นใหม่ EOS-1D Mark IV สำหรับช่างภาพอาชีพที่ต้องการความรวดเร็ว กล้องถูกออกแบบให้ทำงานได้อย่าง รวดเร็วเพื่อการบันทึกภาพอย่างฉับไว ทันสถานะการณ์ อาทิ ภาพเคลื่อนไหว ภาพกีฬา ภาพงานแถลงข่าว และภาพสัตว์ป่า กล้อง Canon EOS-1D Mark IV มีทั้งความเร็ว ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม และความละเอียดสูง จึงเป็นกล้องสำหรับช่างภาพที่ต้องการ กล้องที่มีความทนทาน ทำงานฉับไว ภายใต้สถานะการณ์ที่ต้องแข่งกับเวลา

กล้อง Canon EOS-1D Mark IV ใช้อิมเมจเซ็นเซอร์แบบ APS-H ที่มีความละเอียดสูง 16.1 ล้านพิกเซล จุดออโต้โฟกัส 45 จุด และจุดโฟกัสความเร็วสูงแบบกากบาท 39 จุด ที่ F2.8 ให้ความแม่นยำในการโฟกัสครอบคลุมพื้นที่เฟรมภาพ ระบบประมวลผล แบบคู่ DIGIC 4 พลังสำหรับการถ่ายภาพต่อเนื่อง สามารถ่ายภาพความละเอียดสูงได้ 10 เฟรมต่อวินาที พร้อมความไวแสงที่สูง

กระบวนการออกแบบและผลิต EOS-1D Mark IV ได้นำข้อคิดเห็นจากกลุ่มช่างภาพ และนำมาสร้างเป็นกล้องที่ตรงกับความ ต้องการ จนได้กล้องที่มีอิมเมจเซ็นเซอร์แบบ CMOS รุ่นใหม่ ระบบประมวลผลภาพแบบคู่ DIGIC 4

ความไวแสงสูง, จุดโฟกัสแบบกากบาท บันทึกภาพด้วยความเร็วสูง
กล้อง EOS 1D Mark IV มีจุดออโต้โฟกัส 45 จุด พร้อมด้วยจุดโฟกัสความเร็วสูงแบบกากบาท 39 จุด เมื่อใช้รูรับแสงที่ F2.8 ครอบคลุมพื้นที่แนวกว้างของเฟรมภาพ ทำให้โฟกัสทั้งสิ่งที่อยู่นิ่งหรือสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็น จุดโฟกัสจุดไหน ผู้ใช้สามารถเลือกใช้งานได้ทั้ง 45 จุด

พลังจากระบบประมวลผลคู่ของ DIGIC 4 และ CMOS
การรวมพลังระหว่างอิมเมจเซ็นเซอร์แบบ APS-H CMOS ความละเอียด 16.1 ล้านพิกเซล และระบบประมวลผลคู่ DIGIC 4 ทำให้ได้ภาพที่มีความคมชัดพร้อมกับความรวดเร็ว

ระบบประมวลผล DIGIC 4 แบบคู่ ที่ช่วยให้การถ่ายภาพต่อเนื่องเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยระบบส่งข้อมูลออก 8 แชนเนล สามารถ ถ่ายภาพต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงที่ความละเอียด 16.1 ล้านพิกเซล พร้อมเก็บรายละเอียดสีแบบ 14 บิต

ถ่ายภาพได้ด้วยความเร็ว 10 ภาพต่อวินาที โดยไม่มีการลดความละเอียดของภาพลง ทำให้กล้อง EOS 1D Mark IV เป็นกล้องรุ่น ที่ถ่ายภาพได้ด้วยความเร็วสูงที่สุด ในบรรดากล้อง DSLR ของ Canon ที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยสามารถถ่ายภาพต่อเนื่อง 121 ภาพ สำหรับไฟล์ JPEG Large หรือ 28 ภาพต่อเนื่องสำหรับไฟล์ RAW เมื่อใช้เมโมรีการ์ดแบบ UDMA 6 รองรับการทำงานกับเมโมรี การ์ดแบบ UDMA 6 มาตณฐานล่าสุด และเมโมรีการ์ดแบบ SD/SDHC

EOS 1D Mark IV มาพร้อมกับพิคเจอร์สไตล์อัพเดคล่าสุด และได้นำเอา Auto Lighting Optimizer มาใส่ไว้ในกล้องระดับโปร เป็นครั้งแรก เพื่อช่วยจัดการกับคอนทราสต์และความสว่างของภาพถ่ายให้โดยอัตโนมัติ ได้ภาพถ่ายที่พร้อมใช้งานได้ทันที จากตัวกล้อง ช่วยเพิ่มความรวดเร็วในขั้นตอนการทำงานของกระบวนการผลิตข่าว ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการรีทัชภาพ

ขุมพลังในสภาพแสงน้อย
EOS 1D Mark IV มีความไวแสงแบบมาตรฐานระหว่าง 100 - 12,800 พร้อมด้วยแบบขยายระหว่าง 50 - 102,400 ซึ่งเป็น ความไวแสงสูงที่ไม่เคยมีมาก่อนในกล้อง Canon ด้วยความไวแสงที่สูงทำให้สามารถ ถ่ายภาพในช่วงเย็น หรือในสถานที่ที่แทบ ไม่มีแสง จนแทบไม่มีทางที่จะถ่ายภาพได้เลย

ระบบลด Noise แบบอัจฉริยะ ที่ทำให้ทั้ง chroma และ luminance noise เหลือน้อยที่สุด โดยที่ยังคงความสมดุลย์ของสี และไม่ทำให้ คุณภาพโดยรวมทั้งหมดของภาพเสียไป อิมเมจเซ็นเซอร์รุ่นใหม่มีช่องว่างระหว่าง microlens น้อยลง ช่วยเพิ่มความไวแสง เซลล์รับแสงที่มีความจุมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย

โครงสร้างที่แข็งแกร่ง กันน้ำ
EOS 1D Mark IV มีบอดี้ทำจากแมกนีเซียมอัลลอย ที่ทนทานต่อแรงกระแทก พร้อมการออกแบบใหม่ในบางจุด ปุ่มที่ออกแบบ ให้มีรูปทรงใหม่ ให้มีเสียงคลิ้กเมื่อกด เพื่อทำให้การใช้งานง่ายขึ้น และระบบซีลกันน้ำที่มียางซีลกันน้ำกันฝุ่นถึง 76 จุด รอบบริเวณปุ่มและรอยตะเข็บ ช่วยให้ป้องกันฝุ่นและน้ำเมื่อใช้ร่วมกับเลนส์ EF และแฟลช EX ที่มีระบบกันน้ำ

จอแอลซีดี Clear View II ความละเอียดสูง 920,000 พิกเซล สำหรับการดูภาพและวิดีโอที่ถ่าย หน้าจอที่มีแสงสะท้อนน้อย ช่วยให้ มองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน หน้าจอรุ่นใหม่ใช้กระจกแทนอะครีลิก ทำให้มีความทนทาน ป้องกันรอยขีดข่วนที่จะเกิดขึ้น บนหน้าจอได้ดีกว่าเดิม

ถ่ายภาพยนต์และวิดีโอแบบ Hi-Def
นอกจากภาพนิ่งความละเอียดสูงแล้ว EOS 1D Mak IV ยังมีฟีเจอร์ในการถ่ายวิดีโอ สามารถบันทึกภาพวิดีโอ ความละเอียด 1080p (HD) ที่ 30, 25 และ 24 เฟรมต่อวินาที และความละเอียด 720p ที่ 60 และ 50 เฟรมต่อวินาที รองรับได้ทั้งระบบ PAL และ NTSC พร้อมด้วยภาพวิดีโอ 1080/24 ซึ่งเป็นเฟรมเรตแบบเดียวกับที่ใช้ในการถ่ายภาพยนต์ ตัวกล้องสามารถใช้ระบบแมนวลได้ เต็มรูปแบบ เพื่อการถ่ายภาพยนต์และการถ่ายภาพ ที่ต้องการควบคุมควบชัดลึก

EOS 1D Mark IV สามารถตั้งโปรแกรมให้กับปุ่ม เพื่อเข้าสู่โหมดถ่ายวิดีโอได้อย่างรวดเร็ว ให้ช่างภาพเลือกบันทึกภาพวิดีโอแบบ HD ได้ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว พร้อมด้วยช่องสัญญาณ mini HDMI เพื่อการรับชมภาพวิดีโอและภาพนิ่งบนจอทีวีได้โดยตรง

EOS 1D Mark IV มีระบบให้ผู้ใช้ตั้งค่าการทำงานขั้นสูง ทำให้ช่างภาพสามารถใช้ฟีเจอร์ต่างๆ ของกล้องได้อย่างเต็มที่ ทั้งระบบ การคำนวณค่าแสงอัตโนมัติ และระบบคำนวณแสงแฟลชอัตโนมิติ ที่สามารถปรับได้อย่างละเอียด เพื่อการปรับแต่งค่าการทำงาน ของกล้องสองตัวให้เหมือนกัน เพื่อให้เหมาะสมกับสไตล์การใช้งานของแต่ละคน โปรไฟล์ของกล้องที่ตั้งค่าเอาไว้ สามารถบันทึกลง เมโมรีการ์ด แล้วโหลดเข้ากล้องอีกตัวได้ทันทีหากต้องการ

ปกป้องภาพถ่าย ด้วยฟีเจอร์การเพิ่มข้อมูลเกี่ยวลิขสิทธิ์โดยตรงในตัวกล้อง ทำให้ช่างภาพสามารถฝังข้อมูลรายละเอียดด้านลิขสิทธิ์ ลงไปในภาพถ่ายทุกภาพที่ถ่าย พร้อมด้วยไมโครโฟนภายในตัวกล้อง สำหรับการบันทึกเสียงเป็นรายละเอียดสั้นๆ เกี่ยวกับ ภาพถ่าย

ความแตกต่างระหว่างแฟลช Canon 580EX II และ 430EX II


ความแตกต่างระหว่างแฟลช Canon 580EX II และ 430EX II

มีความแตกต่างมากมายระหว่างแฟลชสองรุ่นนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ราคาเท่านั้น แต่ฟังก์ชันต่างๆ ก็ต่างกันหลายอย่าง มาดูสิ่งที่แตกต่างกันว่ามีอะไรบ้าง

พลัง
สิ่งที่แฟลช 580EX II เหนือกว่า 430EX II ก็คือความแรงของแสงแฟลช ที่ให้ความสว่างไกลกว่ารุ่น 430 ถึง 35% (58 เมตร และ 43 เมตร) ความสว่างความแรงของแสงที่มากกว่า จะมีประโยชน์เมื่อคุณจำเป็นต้องใช้แฟลชสะท้อนเพดาน ใช้แฟลชจากระยะไกล หรือใช้แฟลชร่วมกับอุปกรณ์กระจายแสงต่างๆ เช่น ถ้วยมาม่าต้มยำ (เน้นฮา) ร่มสะท้อนแสง ซอฟท์บ็อก ซึ่งการใช้แฟลชในลักษณะนี้จะทำให้เสียความสว่างของแสงไป ในบางสถานะการณ์อาจทำให้ความสว่างของแฟลชไม่เพียงพอ

โครงสร้าง
แฟลชรุ่น 580EX II มีขนาดที่ใหญ่กว่า น้ำหนักมากกว่า โครงสร้างมีความแข็งแรงกว่า มีซีลกันฝุ่น กันละอองน้ำที่บริเวณส่วนสำคัญ ของแฟลชคือ ที่หัวแฟลช บานพับช่องใส่แบต เตอรี่ บริเวณฐานด้านล่างที่จะใช้ติดกับตัวกล้อง และฐานของแฟลช 580EX II เป็น โลหะ ตัวล็อกแฟลชกับฮ็อตชูของกล้องก็เป็นแบบก้านล็อก ส่วน 430EX II เป็นแบบเกลียว

แผ่นสะท้อนแสง
ด้านหน้าของแฟลช 580EX II จะมีแผ่นพลาสติกใส ซึ่งเอาไว้ใช้กระจายแสงเมื่อใช้กับเลนส์มุมกว้าง และแผ่นพลาสติกสีขาว เอาไว้ใช้สะท้อนแสงเพื่อทำให้เกิดประกายแสง ในดวงตาเวลาถ่ายภาพคน (เวลาใช้งานต้องปรับหัวแฟลชให้ตั้งขึ้น 90 องศา แล้วดึงแผ่นสะท้อนแสงสีขาวขึ้น และใช้งานอยู่ในระยะประมาณ 1.5 เมตร) ส่วนแฟลช 430EX II จะมีเฉพาะแผ่นกระจายแสง มุมกว้างเท่านั้น

ระบบทำงานแบบไร้สาย
แฟลชรุ่นท็อปของ Canon เช่น 550, 580, 580EX II จะมีตัวรับ/ส่งสัญญาณแบบอินฟราเรด ดังนั้นจึงสามารถส่งสัญญาณให้แฟลช ตัวอื่นทำงาน หรือเป็นตัวรับสัญญาณจากแฟลช ตัวอื่นก็ได้ ในขณะที่แฟลช 430EX II จะมีเพียงแค่ตัวรับสัญญาณ หากต้องการ ใช้งานแบบไร้สาย ก็ต้องมีแฟลช 580EX II เป็นตัวสั่งงาน หรืออาจจะใช้ อุปกรณ์สั่งงานแฟลชไร้สาย แบบอินฟราเรด Canon ST-E2 เป็นตัวสั่ง

ปุ่มควบคุมการใช้งาน
ปุ่มควบคุมการใช้งานด้านหลังของตัวแฟลช 580EX II จะเป็นแบบวงล้อหมุน ทำให้ใช้งานได้ง่ายกว่า ในขณะที่ด้านหลังของ 430EX II จะเป็นแบบปุ่มกด ทำให้การใช้งานต้อง เสียเวลากดปุ่มกันวุ่นวาย คนที่ใช้กล้องพวกเลขสองหลัก หรือหลักเดียว 50D, 5D, 1Ds คงจะรู้ว่าปุ่มหมุนด้านหลังกล้องนะเยี่ยมจริงๆ เวลาใช้งาน

ช่องต่ออุปกรณ์ด้านข้าง
ด้านข้างของแฟลช 580EX II จะมีคอนเน็คเตอร์สามช่อง ช่องบนซ้ายมีไว้สำหรับต่อกับแบตเตอรีภายนอก ช่องบนขวาเอาไว้สำหรับ ยึดแฟลชเข้ากับ Flash Bracket สำหรับ แยกแฟลชออกจากตัวกล้อง และช่องด้านล่างสุดเป็นช่อง PC Connector เอาไว้สำหรับ ต่อสายอุปกรณ์สั่งงานแฟลชไร้สายแบบใช้คลื่นวิทยุ (อ่านรายละเอียดจากเรื่อง Wireless Flash) สำหรับแฟลช 430EX II จะมีเพียง ช่องสำหรับติดกับ Flash Bracket เท่านั้น

มิเตอร์วัดแสงภายนอก
แฟลช 580EX II มีเซ็นเซอร์วัดแสงอยู่ด้านหน้าของแฟลช ซึ่งระบบนี้ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งระบบการวัดแสง และคำนวณค่า แสงแฟลชของตัวกล้อง ตัวเซ็นเซอร์วัดแสงที่แฟลช จะทำหน้าที่อัตโนมัติ โดยการใช้งานจะต้องตั้งค่า ISO และรูรับแสงของแฟลช ให้ตรงกับค่าในกล้อง ยกเว้นกล้องรุ่น 1D MK III ตัวแฟลชจะทำงานในโหมดอัตโนมัติ ปรับค่า ISO และรูรับแสงตามกล้อง

โหมด stroboscopic
แฟลช 580EX II มีโหมด stroboscopic ซึ่งเป็นการปล่อยแสงแฟลชออกมาหลายๆ ครั้ง โดยสามารถตั้งจำนวนครั้งในการปล่อย แสงแฟลช และระยะห่างในการปล่อยแสงแฟลช ในการใช้งานจะต้องใช้กับความเร็วชัตเตอร์ B และในที่มืด ส่วนแฟลช 430EX II ไม่มีโหมดนี้ ก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะผมใช้แฟลช 580 มาเป็นปีๆ ก็ยังไม่ได้ใช้โหมด stroboscopic สักครั้ง

ข้อแตกต่างอื่นๆ ระหว่าง 580EX II และ 430EX II
- 580 กำลังไฟสูงกว่า ขนาดใหญ่กว่า น้ำหนักมากกว่า เสียงขณะใช้งานเงียบกว่า
- 580 กำหนด Custom Function ได้ 14 แบบ 430 ได้ 9 แบบ
- 580 มีไฟช่วยโฟกัส 45 จุด ได้ประโยชน์เต็มๆ กับกล้องพวก 1D
- 580 มีโหมด stroboscopic (ปล่อยแสงแฟลชออกมาหลายๆ ครั้ง ในการถ่ายภาพ)
- 580 โหมดแมนวลปรับกำลังของแสงแฟลชได้ตั้งแต่ 1/1 - 1/128 ส่วน 430 ได้ตั้งแต่ 1/1 - 1/64
- 580 ปรับหัวแฟลชก้มต่ำลงได้ 7 องศา 430 ไม่ได้ ปรับหัวแฟลชไปทางซ้าย/ขวา ได้ 0 - 180 องศา 430 ปรับซ้าย 0 - 180 ปรับขวาได้ 0 - 90 องศา

แล้วจะใช้รุ่นไหนดี
แน่นอนว่าแฟลช 580EX II ดีกว่าในทุกด้าน ฟังก์ชั่นการใช้งาน วัสดุ ปุ่มปรับต่างๆ และรวมถึงราคาด้วย แต่หากเทียบในด้าน การใช้งานจริง ที่ส่วนใหญ่ใช้ถ่ายภาพกันในระยะ 2-6 เมตร ใช้แฟลชสะท้อนเพดานบ้าง แฟลช 430EX II ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า 580EX II ที่สำคัญแฟลช 430EX II ความเร็วในการชาร์จต่อรอบเร็วกว่า แต่ไม่ว่าจะใช้แฟลชรุ่นไหน ตัวผู้ใช้เองต้องรู้ว่าตัวเอง ถ่ายภาพประเภทไหน มีความจำเป็นต้องใช้แฟลชในการถ่ายภาพหรือเปล่า และที่สำคัญคือเข้าใจเรื่องแสงดีพอหรือยัง

เหตุผลเด็ดๆ ทำไมถึงต้องใช้ External Flash


เหตุผลเด็ดๆ ทำไมถึงต้องใช้ External Flash

ความเข้าใจของหลายๆ คนคิดว่า แฟลชมีไว้สำหรับการถ่ายภาพกลางคืน หรือในที่ที่มีแสงสว่างน้อยเท่านั้น คุณสามารถใช้แฟลช กับการถ่ายภาพกลางแจ้ง และสามารถใช้ในการสร้างแสงตามแนวความคิดที่คุณต้องการ เช่น การถ่ายภาพพรอเทรท ภาพอาหาร ภาพสินค้า ฯลฯ ดังนั้นแฟลชจึงมีความจำเป็นอันดับต้นๆ ในการถ่ายภาพ ด้วยเหตุนี้กล้อง DSLR จึงมี Hot shoe สำหรับไว้ใช้ แฟลชภายนอกเพิ่มเติม มาดูเหตุผลว่าทำไมถึงต้องมีแฟลชภายนอกอีก ในเมื่อกล้อง DSLR ส่วนใหญ่ก็มีแฟลช pop-up อยู่แล้ว

ระยะเวลาในการชาร์จสั้นกว่า
ถ้าคุณใช้แฟลชหัวกล้องหรือแฟลช pop-up เมื่อถ่ายภาพภาพหนึ่งแล้ว แฟลชจะต้องใช้ระยะเวลาสักครู่ในการชาร์ ประจุ เติมกำลังไฟที่ใช้ในการสร้างแสงแฟลชรอบใหม่ ซึ่งจะชาร์จประจุกันภาพต่อภาพ ระยะเวลาที่ใช้แต่ละครั้งประมาณ 2-3 วินาที ในระหว่างที่รอแฟลชชาร์จคุณจะถ่ายภาพต่อไม่ได้ ซึ่งทำพลาดช็อตสำคัญ เช่น การถ่ายภาพงาน แถลงข่าว หรืองานพิธีต่างๆ ที่ต้องอาศัยความรวดเร็ว และการที่แฟลชหัวกล้องใช้แบตเตอรี่จากตัวกล้อง ก็ทำให้แบตเตอรี่ของกล้องหมดเร็วขึ้นด้วย ส่วนแฟลชภายนอกจะมี ความเร็วในการชาร์จต่อรอบเร็วกว่า จนคุณสามารถถ่ายภาพแบบภาพต่อภาพ หรือถ่ายต่อเนื่องติดๆ กัน

ปรับทิศทางของแสง
แฟลชหัวกล้องจะปล่อยแสงแฟลชออกไปด้านหน้าตรงๆ ทำให้ได้ภาพที่ดูแบน และมีเงาเกิดขึ้นด้านหลัง ส่วนแฟลชภายนอก นอกจาก จะปล่อยแสงแฟลชออกไปด้านหน้า ยังสามารถปรับหน้าแฟลชให้หันซ้าย หันขวา ปรับก้ม/ เงย เพื่อให้แสงแฟลชสะท้อน กับเพดาน หรือกำแพง ทำให้ได้แสงแฟลชจากทิศทางอื่น การสะท้อนแฟลชกับเพดาน หรือกำแพง ทำให้ได้แสงที่นุ่ม ให้ภาพถ่ายที่มีมิติ ลดการ เงาดำที่เกิดจากการใช้แฟลช ไม่ทำให้เกิดตาแดงกับการถ่ายภาพคน

แก้ไขเปลี่ยนแปลงแสง
แฟลชภายนอกมีอุปกรณ์เสริม เพื่อใช้ในการแก้ไขลักษณะของแสงให้ได้รูปแบบอย่างที่ต้องการ อุปกรณ์เสริมมีให้ใช้มากมาย เช่น Snoot เป็นกรวยเอาไว้บีบให้แสงแฟลชแคบลง, Softbox เอาไว้ทำให้แสงแฟลชนุ่ม (ส่วนใหญ่นิยมใช้ร่มสะท้อนแสง หรือร่ม ที่เป็นผ้าขาว เนื่องจากหาซื้อง่ายและราคาถูกกว่า) Gel แผ่นพลาสติกสีเอาไว้ติดด้านหน้าของแฟลช เพื่อทำให้แสงเป็นสีอื่นๆ เช่น น้ำเงิน แดง หรือ ส้ม นอกจากนี้ยังอุปกรณ์อีกหลายชนิด เช่น Grid, Barndoor,

รีโมทแฟลช
รีโมทแฟลชเป็นการใช้แฟลชตัวหนึ่งสั่งให้แฟลชอีกตัวทำงาน ซึ่งมีความจำเป็นเมื่อคุณต้องใช้แฟลชหลายๆ ตัวจัดแสง แต่ฮ็อตชู กล้องติดตั้งแฟลชได้เพียงตัวเดียว การจะสั่งงาน แฟลชหลายๆ ตัวให้ทำงานพร้อมกันได้ก็ต้องใช้ระบบ Remote Flash เข้ามาช่วย หลักการทำงานของระบบรีโมทแฟลช จะต้องมีแฟลชตัวหนึ่งเป็นตัวส่งสัญญาณ โดยแฟลชที่ทำ หน้าที่ส่งสัญญาณจะเรียกว่า Master หรือ Remote แล้วแฟลชตัวอื่นที่เหลือก็จะทำหน้าที่เป็นตัวรับสัญญาณ แฟลชที่ทำหน้าที่รับสัญญาณจะเรียกว่า Slave ทันทีที่ได้รับ สัญญาณ มาจากแฟลชตัวมาสเตอร์ แฟลชตัวสเลฟก็จะปล่อยแสงแฟลชออกมาตามบัญชาของแฟลชมาสเตอร์

แฟลชรุ่นท็อปสุดของกล้องแต่ละยี่ห้อ เช่น Canon 580EX II, Nikon SB800, SB900, Olympus FL-50R จะสามารถทำงานได้ทั้ง Master/Slave ถ้าหากคุณมีแฟลช 580 EX II สองตัว คุณก็สามารถตั้งให้ตัวหนึ่งทำงานเป็นมาสเตอร์ และอีกตัวเป็นสเลฟได้ ส่วนแฟลชรุ่นรองลงมา เช่น Canon 430 EX II, Nikon SB 600 ตัวแฟลชจะมีเพียงแค่โหมด Slave อย่างเดียว จึงจำเป็นต้องมี แฟลชรุ่นท็อปมาคอยสั่งงาน หรืออาจใช้อุปกรณ์สั่งงานไร้สายเพิ่มเติม เช่น Canon ST-E2, Nikon SU-800 หรือพวก Radio Trigger ซึ่งเป็นอุปกรณ์ สั่งงานแฟลชไร้สาย (รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้จากเรื่อง Wireless Flash)

หมายเหตุ : แฟลชป็อบอัพของกล้อง Nikon (บางรุ่น) สามารถสั่งงานแฟลชภายนอกให้ทำงานได้ ตรวจสอบจากคู่มือของกล้อง

ทั้งหมดก็เป็นจุดเด่นของแฟลชภายนอก ที่มีความหลากหลายในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการปรับทิศทาง การปรับแต่งแสง การใช้แฟลชแยกออกจากตัวกล้อง หรือการใช้แฟลช ร่วมกันหลายๆ ตัว แต่ในการใช้งานแฟลชร่วมกับการถ่ายภาพนั้น คุณต้องมีความเข้าใจเรื่องแสงกับการถ่ายภาพด้วย ซึ่งจะช่วยให้คุณเห็นช่องทางในการใช้แฟลชสร้างแสง ในแบบที่ต้องการ

มือใหม่เลือกซื้อเลนส์


มือใหม่เลือกซื้อเลนส์

คุณอาจสงสัยว่ากล้อง DSLR บางรุ่นไม่มีเลนส์ บางรุ่นมีเลนส์ นั่นก็เพราะว่าเป็นกล้องที่ถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ ดังนั้นคุณจึงสามารถเลือกเลนส์ที่เหมาะสมกับการใช้งานมาใช้กับกล้อง ได้ตามความต้องการ และประเด็นที่สำคัญคือแต่ละคนต้องมีความต้องการและงบประมาณที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้กล้อง DSLR จึงมีรุ่นที่ขายตัวกล้องพร้อมเลนส์ และขายเฉพาะ ตัวกล้อง โดยที่คุณต้องจ่ายเงินซื้อเลนส์รุ่นที่ต้องการหรือรุ่นที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานของคุณเอง

ต้องการถ่ายภาพอะไรกันแน่?
คำถามแรกสุดที่คุณควรถามตัวเองก่อนก็คือ คุณต้องการถ่ายภาพอะไร คุณอยากจะถ่ายภาพดอกไม้ ถ่ายภาพคน ถ่ายภาพกีฬา ถ่ายภาพทิวทัศน์ ถ่ายภาพนก ถ่ายภาพสัตว์เลี้ยง หรือเพียงแค่ถ่ายภาพขณะเดินทางท่องเที่ยว

มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าเลนส์หรือเปล่า?
ราคาเลนส์มีตั้งแต่ราคาไม่กี่พัน จนขึ้นหลักหลายแสน งบประมาณของคุณมีมากแค่ไหน

ต้องการเลนส์ใหม่เอี่ยมหรือเลนส์มือสอง?
เลนส์ที่มีขายในร้านก็มีเลนส์ใหม่เอี่ยม นอกจากนี้ยังมีเลนส์มือสองขายเกลื่อนทั้งตามร้าน และประกาศขายทางเว็บไซต์ บางคนเบื่อ บางคนซื้อไปแล้วแทบไม่ได้ใช้ นานเข้าก็เอาออกมาขาย

ต้องการเลนส์ฟิกหรือเลนส์ซูม?
โดยปกติแล้วเลนส์ Fix หรือ Prime lens จะมีคุณภาพที่ดีกว่าเลนส์ซูม ยกเว้นเลนส์ซูมเกรดโปร สำหรับเลนส์ฟิกก็เปรียบเสมือนกับดวงตาของเรา อยากเห็นอะไรใกล้ๆ ก็ต้องเดินเท้าเข้าไป เมื่ออยู่ใกล้ไปก็ต้องถอยออกมา ส่วนเลนส์ซูมจะให้ความสะดวกตรงที่ไม่ต้องเดินเข้าไป คุณสามารถปรับระยะซูมของเลนส์ให้เห็นภาพได้ใกล้ขึ้นหรือไกลออกมาได้

ทางยาวโฟกัสของเลนส์และพื้นที่การใช้งาน?
คุณไม่สามารถใช้เลนส์ช่วง 50 มม. ถ่ายภาพครึ่งตัวนักฟุตบอลที่อยู่อีกฟากของสนามได้ ขณะเดียวกันการนำเลนส์ช่วง 300 - 600 มม. ที่ถ่ายภาพนักฟุตบอล มาถ่ายภาพคนครึ่งตัวหรือเต็มตัว ในห้องขนาด 3 x 6 เมตรไม่ได้ เพราะเลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสสูงๆ ระยะการใช้งานก็จะต้องอยู่ห่างจากสิ่งที่คุณต้องการถ่ายภาพมากขึ้น ถ้าจะใช้เลนส์ระยะ 200 มม. ถ่ายคน ระยะห่างระหว่างกล้อง กับตัวแบบก็ต้องห่างกันประมาณ 2 เมตรขึ้นไป แล้วเลนส์ 200 มม. ที่ระยะ 2 เมตร ก็ถ่ายได้แต่หน้าคน อยากถ่ายครึ่งตัว หรือ เต็มตัว ก็ต้องถอยหลังกันอีกบาน ดังนั้นการเลือกระยะของเลนส์จึงต้องดูพื้นที่ใช้งานของคุณด้วยว่ามีพื้นที่กว้างแค่ไหน หรือดูว่าสิ่งที่คุณจะถ่ายอยู่ไกลแค่ไหน

ต้องการเลนส์รูรับแสงกว้างๆ หรือเลนส์ไวแสงไหม?
คุณต้องการถ่ายภาพในสถานที่ที่มีแสงน้อยๆ โดยไม่ใช้ขาตั้งกล้องหรือไม่ใช้แฟลชหรือเปล่า? ต้องการถ่ายภาพคนโดยให้ ฉากหลังเบลอไหม? เลนส์ที่มีรูรับแสงกว้าง เช่น 50 mm f1.8, 24-70 mm f2.8 หรือ 70-200 mm f2.8 เป็นเลนส์ที่มีรูรับแสงกว้าง ซึ่งจะทำให้ใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงได้ ช่วยให้กล้องปรับโฟกัสได้เร็วขึ้น ทำให้ฉากหลังเบลอได้มากกว่าเลนส์ที่มีรูรับแสงแคบ และเลนส์รูรับแสงกว้างยังใช้กำลังไฟจากแฟลชหรือไฟสตูดิโอน้อยกว่า

ต้องการเลนส์จากผู้ผลิตกล้องหรือเลนส์จากผู้ผลิตอื่น?
ผู้ผลิตกล้องไม่ว่าจะเป็น Canon, Nikon, Pentax, Olympus, Sony นอกจากจะผลิตกล้องแล้ว ยังผลิตเลนส์ด้วย ทางเลือกที่ง่ายที่สุด ก็คือใช้เลนส์จากผู้ผลิตกล้อง ใช้กล้อง Canon ก็ใช้เลนส์ Canon ไป ใช้กล้อง Nkon ก็ใช้เลนส์ Nikon ไป ไม่ต้องคิดเรื่องจะนำ เลนส์ของกล้องยี่ห้อหนึ่งมาใช้กับกล้องอีกยี่ห้อหนึ่ง เพราะต่างฝ่ายต่างออกแบบเม้าท์กล้อง เม้าท์เลนส์ไม่เหมือนกัน
นอกจากเลนส์ยี่ห้อเดียวกับกล้องแล้ว ยังมีเลนส์จากผู้ผลิตเลนส์อย่าง Sigma, Tamron, Tokina ผลิตเลนส์สำหรับกล้อง DSLR มาเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง ซึ่งเลนส์เกรดโปรบางรุ่น มีราคาถูกกว่าเลนส์จากผู้ผลิตกล้อง แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมีเลนส์ที่ใช้กับกล้อง Canon กับ Nikon ซะเป็นส่วนใหญ่ และสิ่งที่คุณต้องไม่ลืมคือ กล้องคุณใช้เม้าท์เลนส์แบบไหนก็ต้อง ใช้เลนส์ที่มีเม้าท์ตรงกับแบบ เม้าท์ของตัวกล้อง

ความเร็วในการโฟกัสจำเป็นสำหรับคุณไหม?
เลนส์ของกล้อง DSLR มีทั้งแบบ Manual Focus ที่ต้องปรับโฟกัสด้วยมือ และแบบ Auto Focus ที่มีมอเตอร์ปรับโฟกัสให้ และยัง สามารถปรับโฟกัสด้วยมือได้ สำหรับเลนส์ออโต้โฟกัสที่ใช้มอเตอร์ปรับโฟกัสนั้นก็จะมีทั้งแบบธรรมดาและแบบ ความเร็วสูง โดยแบบธรรมดาจะมีเสียงขณะปรับโฟกัสค่อนข้างดัง และปรับโฟกัสได้ค่อนข้างช้า ส่วนมอเตอร์แบบความเร็วสูงจะโฟกัส ได้เร็วกว่า เงียบกว่า
เลนส์ Canon รุ่นที่ใช้มอเตอร์ความเร็วสูงก็จะมีอักษร USM (Ultra Sonic Motor) ระบุเอาไว้ เช่น Canon EF 70-200 F2.8 L USM, Canon EF 17-40 F4 L USM ส่วนเลนส์ Nikon ก็จะเป็นเลนส์เมาท์แบบ AF-S โดยเลนส์เม้าท์แบบ AF-S จะใช้มอเตอร์ SWM (Silent Wave Motor) เลนส์ Nikon ที่มีตัวอักษร AF-S ระบุไว้ก็หมายถึงเลน์ที่ใช้มอเตอร์ SWM ช่วยในการปรับโฟกัสนั่นเอง
เลนส์ยี่ห้ออื่นที่ใช้มอเตอร์ความเร็วสูงก็มีของ Sigma ซึ่งเรียกว่า HSM (Hyper Sonic Motor) เลนส์ Olympus ก็มี SWD (Supersonic Wave Drive) ซึ่งก็เป็นเลนส์ที่โฟกัสได้เร็ว และเงียบ แต่ก็ต้องจับคู่กับกล้องรุ่นโปรอย่าง Olympus E-3 ของ Sony ก็มี SSM (Supersonic-wave Motor) เลนส์ที่ใช้มอเตอร์ความเร็วสูงในการปรับโฟกัส จะช่วยให้ปรับโฟกัส ได้เร็วขึ้น และเสียง การปรับโฟกัสจะเงียบ อย่างไรก็ตามความเร็วในการปรับโฟกัสจะขึ้นอยู่กับสภาพแสง คอนทราสต์ และที่สำคัญก็คือตัวกล้องด้วย

คุณภาพของภาพถ่ายจำเป็นสำหรับคุณหรือเปล่า?
หลายคนชอบเลนส์ที่ให้ความคมชัด ให้คอนทราสต์สูง (แล้วยังมาตะบี้ตะบันปรับพารามิเตอร์ในตัวกล้องหรือใช้ฟิลเตอร์ Unsharp Mask ในโปรแกรมแต่งภาพ เพิ่มความชัดอีก จะเอาชัดไปถึงไหน? แล้วเรื่องการเกิดภาพที่บิดเบี้ยวหล่ะ ไหนจะมีเรื่องแสงแฟลร์ อีก และการเกิดสีเหลื่อม เช่น เกิดแถบสีม่วงหรือแดงเวลาถ่ายภาพทิวทิวทัศน ซึ่งจะเห็นได้ เมื่อขยายภาพใหญ่ หรือสีรุ้งบนเสื้อผ้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดกับเลนส์ซูมราคาประหยัด ถ้าคุณให้ความสำคัญกับคุณภาพของภาพถ่ายก็จำเป็นต้องเลือกเลนส์เกรดโปร แต่ก็ใช่ว่าเลนส์ ราคาประหยัดจะมีปัญหาไปซะทุกรุ่น หรือเลนส์เกรดโปรจะดีไปหมดทุกรุ่น เลนส์หลายรุ่นในปัจจุบัน ใช้ชิ้นเลนส์ ที่ทำให้ได้คุณภาพของภาพถ่ายดีขึ้น

วิธีดูเลนส์ระดับโปรของแต่ละยี่ห้อ
เนื่องจากเลนส์ของกล้องแต่ละยี่ห้อก็มีให้เลือกมากมาย เพื่อให้คุณดูง่ายขึ้นว่าเลนส์รุ่นไหนเป็นเลนส์โปรของแต่ละยี้ห้อก็ดูได้จาก Canon มี L ในชื่อรุ่น เช่น Canon EF 85 F11.2 L เลนส์ Nikon ก็ดูจากตัวอักษร ED ในรุ่น เช่น Nikkor 17-55 F2.8G ED เลนส์ Olympus เลนส์ระดับโปรจะเป็นเลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างสุดคงที่ เลนส์ของ Pentax ก็ดูจากอักษร DA ในชื่อรุ่น ซึ่งจะเป็นเลนส์ที่ใช้ มอเตอร์ SDM เลนส์ของ Sony ก็ดูจากอักษร G ในรุ่นของเลนส์ เลนส์ Sigma ก็ตัวอักษร EX เลนส์ Tamron ก็ตัวอักษร SP และเลนส์ Tokina ก็ดูได้จากรุ่นที่มีตัวอักษร AT-X Pro ในรุ่น

เลนส์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับกล้อง DSLR ที่มีอิมเมจเซ็นเซอร์ขนาดเล็ก
ผู้ผลิตกล้องและเลนส์ได้ผลิตเลนส์สำหรับกล้อง DSLR แบบ APS-C ที่มีขนาดของอิมเมจเซ็นเซอร์เล็กกว่าฟิล์ม (อ่านได้จากเรื่อง Image Format ) ตัวอย่างของเลนส์ที่ทำมาเพื่อกล้อง DSLR แบบ APS-C ก็เช่นเลนส์ Canon ที่เป็นเม้าท์แบบ EF-S เลนส์ Nikon ที่มีอักษร DX ในรุ่น และเลนส์ Sigma ที่มีอักษร DC ในรุ่น หากนำเลนส์ที่ออกแบบมาสำหรับกล้อง DSLR แบบ APS-C ไปใช้ กับกล้อง Full Frame ก็จะทำให้เกิดขอบภาพมืด เนื่องจากขนาดของ image circle เล็กกว่าพื้นที่ของอิมเมจเซ็นเซอร์นั่นเอง
หากคุณใช้กล้อง DSLR APS-C ที่ไม่คิดจะอัพเกรดไปเล่นกล้อง Full Frame ก็สามารถใช้เลนส์ที่ออกแบบมาสำหรับกล้อง APS-C ได้ แต่ถ้าหากมีแผนที่จะเล่น Full Frame ในอนาคต ก็ต้องดูว่าเลนส์ APS-C ที่มีอยู่จะทำอย่างไร

นี่เป็นแนวทางสำหรับคนที่อยากจะซื้อเลนส์ อ่านจบแล้วคงตัดสินใจได้ว่าเลนส์ขนาดไหน แบบไหน เหมาะกับตัวเอง บางที การเริ่มต้นจากเลนส์ราคาถูกก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี เมื่อคุณถ่ายภาพจนรู้ว่าตัวเองถนัดหรือชอบการถ่ายภาพแบบไหน ถึงเวลานั้น คำตอบเรื่องเลนส์ก็จะชัดเจนที่สุดว่าเลนส์ตัวใดเหมาะกับคุณที่สุด

100 ภาพ จากเลนส์คิท


กล้อง DSLR รุ่นเล็กมักจะขายตัวกล้องพร้อมเลนส์ เป็นการจัดชุดกล้องพร้อมเลนส์จากผู้ขาย เพื่อให้กล้องพร้อมสำหรับการใช้งาน ซึ่งเลนส์ที่จัดชุดเข้าคู่กับตัวกล้องจะเรียกกันว่า Lens Kit

เลนส์ คิทที่ถูกนำมาจัดเข้าคู่กับตัวกล้อง ส่วนใหญ่จะเป็นเลนส์ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และราคาถูก ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ซื้อมือใหม่ได้มี กล้องที่พร้อมใช้งานได้ โดยเลนส์คิทส่วนใหญ่ จะเป็นเลนส์ normal zoom ที่ให้ความคล่องตัวในการใช้งานสูง ใช้กับการถ่ายภาพ ได้หลากหลาย เหมาะกับผู้เริ่มต้นถ่ายภาพ ที่ส่วนใหญ่จะถ่ายภาพเป็นงานอดิเรก อย่างเวลา ไปเที่ยว ก็ได้ใช้กล้องถ่ายภาพ สถานที่ท่องเที่ยว ถ่ายภาพตัวเองและเพื่อนๆ หรือไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหน ก็เอากล้องมาถ่ายสัตว์เลี้ยง ถ่ายคนในครอบครัว เรียกได้ว่าเป็นเลนส์ ที่เหมาะกับสไตล์ของคนส่วนใหญ่ ที่ไม่ได้ซีเรียสกับการถ่ายภาพมากนัก หรือนักศึกษาที่เรียนถ่ายภาพ ก็ใช้ได้ไม่มีปัญหา

ตัวอย่าง ของกล้องที่จัดชุดตัวกล้องพร้อมเลนส์ก็เช่น Nikon D5000 + Lens 18-55 mm F3.5-5.6 VR หรือกล้องรุ่นสูงขึ้นมาอย่าง Nikon D90 + Lens 18-105 mm F3.5-5.6 หรือกล้อง Canon EOS 1000D + Lens EF-S 18-55 F3.5-5.6 IS หรือรุ่นสูงขึ้นมาก็เป็น Canon EOS 50D กับเลนส์ EF-S 17-85 F3.5-5.6 IS เป็นต้น

ไม่เพียงเฉพาะกล้อง Nikon หรือ Canon เท่านั้นที่จัดชุดกล้องพร้อมเลนส์คิท ยี่ห้ออื่นไม่ว่าจะเป็น Sony, Olympus, Pentax ก็จะมี ชุดกล้องพร้อมเลนส์คิทให้เลือกเช่นกัน การจัดชุดกล้องพร้อมเลนส์นั้นก็เพื่อช่วยให้คนที่ยังไม่ค่อยมีความรู้เรื่องกล้องมากนัก ได้กล้องที่เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด และที่สำคัญช่วยประหยัดงบประมาณได้มาก เมื่อมีความรู้ความชำนาญในการถ่ายภาพ มากขึ้น ก็ค่อยซื้อเลนส์เพิ่มเติม

บาง คนอาจจะสงสัยว่าทำไมผู้ขาย ไม่จัดชุดเจ๋งๆ ไปเลยทั้งกล้องทั้งเลนส์ เหตุผลง่ายสุดก็คือราคา เลนส์ที่คุณภาพสูง หรือเลนส์ที่มี รูรับแสงกว้างๆ จะมีราคาสูง มีขนาดและน้ำหนัก เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ไม่สะดวกต่อการใช้งาน การถือกล้องกับเลนส์ที่หนักเป็นกิโล ไม่ใช่เรื่องสนุกนัก ที่สำคัญคือ การถ่ายภาพต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ความชอบ และส่วนประกอบ อื่นๆ อีก ไม่ใช่มีกล้องดีเลนส์ดี แล้วคิดว่าจะได้ภาพถ่ายที่สวย

เพื่อให้คุณได้เห็นว่ากล้องกับเลนส์คิท ก็ทำให้ได้ภาพสวยๆ ได้เช่นกัน ผมได้คัดภาพมา 100 ภาพ เป็นภาพที่ถ่ายโดยใช้กล้อง Canon EOS 10D และ EOS 30D โดยมีเลนส์ที่ EF 28-90, 35-80 EF-S 18-55 ไม่มีฟิลเตอร์ UV หรือ PL ติดหน้าเลนส์ สะพาย เพียงกล้องตัวเลนส์ตัว ที่สะดวกและเบาเวลาต้องสะพายกล้องนานๆ และสำคัญที่สุดคือแฟลช หลายๆ ภาพในเซ็ตนี้ ใช้แฟลชเพื่อ ให้ได้ภาพที่สว่าง ได้สีสัน ได้คอนทราสต์ที่ดี สุดท้ายภาพที่ได้ก็ปรับแต่งเพียงง่ายๆ โดยใช้คำสั่ง Curve หรือ Levels เพื่อปรับ คอนทราสต์ของภาพถ่าย และไม่ใช้ ฟิลเตอร์ Unsharp Mask ของโปรแกรม Photoshop เพื่อเพิ่มความคมชัดของภาพถ่าย คุณภาพของภาพจะลดลงไปพอสมควร เนื่องจากการบีบอัดเพื่อให้ไฟล์มีขนาดเล็ก

6เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเลนส์


6 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเลนส์

1. เลนส์เม้าท์
กล้องดิจิตอลเอสแอลอาร์สามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ โดยตัวกล้องมีส่วนที่เรียกว่า Mount ใช้ยึดเลนส์เข้ากับ ตัวกล้อง ก่อนจะซื้อ เลนส์มาใช้กับกล้อง ก็ต้องดูก่อนว่ากล้องที่ใช้อยู่ ใช้เลนส์เม้าท์แบบไหนได้บ้าง ในเว็บของผู้ผลิต ในคู่มือของกล้องจะมีบอกเอาไว้ ใน Specifications ยกตัวอย่างเปรียบเทียบกล้องสองรุ่นคือ Canon EOS 5D กับ EOS 40D ในสเป็คระบุว่า Lens Mount คือ Canon EF นั่นหมายถึงตัวเลนส์ถ้าเป็นเม้าท์แบบ EF ก็เอามาใช้กับกล้องได้ และเมื่อดูที่ Compatible Lenses จะเห็นว่า ตัวกล้อง 5D ระบุไว้ว่า (except EF-S lenses) นั่นคือไม่สามารถใช้เลนส์เม้าท์แบบ EF-S ได้ ในขณะที่กล้องรุ่น 40D ระบุว่า (including EF-s lenses) นั่นคือสามารถใช้กับ เลนส์เม้าท์แบบ EF-S ได้นั่นเอง
ความแตกต่างระหว่าง EF กับ EF-S ถ้าเอาเข้าใจกันแบบ ง่ายๆ ก็คือ EF เป็นเลนส์ที่ผลิตขึ้นมาตั้งแต่ยุคกล้องฟิล์ม ส่วน EF-S เป็นเลนส์ที่ผลิตขึ้นมาสำหรับกล้องดิจิตอล เพื่อให้เหมาะสมกับขนาดอิมเมจเซ็นเซอร์ที่มีขนาดเล็ก

2. อัตราคูณ
กล้องฟิล์มที่ใช้ฟิล์ม 35 มิลลิเมตร ซื้อฟิล์มได้ง่ายที่เซเว่น ฟิล์มแต่ละเฟรมมีขนาดพื้นที่เก็บภาพ 36x24 มิลลิเมตร ส่วนกล้องดิจิตอลเอสแอลอาร์ส่วนใหญ่มีขนาดของ อิมเมจ เซ็นเซอร์เล็กกว่าฟิล์ม เช่น 22.2 x 14.8 มิลลิเมตร
เนื่องจากกล้องดจิตอลเอสแอลอาร์ถูกผลิตขึ้นจากโครง สร้างของกล้องฟิล์ม เพื่อให้ใช้ร่วมกับเลนส์ของกล้องฟิล์ม ได้ เมื่อนำเลนส์กล้องฟิล์มมาใช้กับกล้องดิจิตอลที่มีขนาด อิมเมจเซ็นเซอร์เล็กกว่าฟิล์ม ผลที่ตามมาก็คือจะมีส่วน ของภาพซึ่งใหญ่เกินขนาดพื้นที่อิมเมจเซ็นเซอร์ถูกตัด หรือว่า crop ออกไป เสมือนกับว่าเอาเลนส์ที่มีช่วง Focal Length สูงกว่ามาใช้ เพราะภาพส่วนเกินถูกตัดออก ถ้าหากอยากจะได้ภาพที่มีขนาดใหญ่เหมือนกับใช้ฟิล์ม ก็ต้องหาเลนส์ที่มี Focal Length ต่ำกว่ามาใช้

ลอง ดูที่เสป็คของรุ่น 5D กับ 40D จะเห็นข้อมูลของรุ่น 40D ระบุเอาไว้ว่า (35mm equivalent focal length 1.6 time) เนื่องจากกล้อง 40D มีขนาดของอิมเมจเซ็นเซอร์ เล็กกว่าพื้นที่ฟิล์ม 35 มม. ถ้าเอาเลนส์ Canon EF 16-35 มม. มาใช้กับกล้อง 5D ก็จะได้ช่วงเลนส์ตามปกติ แต่ถ้า เอามาใช้กับกล้อง 40D ช่วงของเลนส์ จะเปรียบเสมือน เลนส์ 25.6 - 56 มิลลิเมตร เพราะต้องคูณ 1.6 เข้าไป

3. จะถ่ายอะไร
เลนส์ที่ใช้กับกล้องดิจิตอลเอสแอลอาร์มีมากมาย เพื่อให้ ครอบคลุมกับการใช้งาน การเลือกใช้ก็ต้องดูว่าคุณจะถ่าย อะไร จะทำให้คุณเลือกเลนส์ที่ตรงกับการใช้งานมากที่สุด

ครอบครัว เพื่อน ท่องเที่ยว : เลนส์ตัวเล็กน้ำหนักเบา ให้ความคล่องตัวในการใช้งานสูง ส่วนใหญ่แล้วคุณจะใช้ ถ่ายภาพช่วง เวลาแห่งความสุขร่วมกับเพื่อนๆ หรือคนใน ครอบครัว คุณภาพของเลนส์หรือภาพที่ได้เป็นเรื่องรอง

วิว สถาปัตยกรรม : ถ้าสนใจถ่ายภาพทิวทัศน์ ถ่ายสถา ปัตยกรรม เช่น ตึก บ้าน โรงแรม คุณต้องการเลนส์ เลนส์มุมกว้าง (Wide Angle Lens) ในสถานที่คับแคบมี พื้นที่จำกัด เลนส์มุมกว้างเก็บภาพได้กว้าง

กีฬา คน สัตว์ป่า : เลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสสูง หรือที่เรียก ว่าเลนส์เทเล (Telephoto Lens) คุณสามารถถ่ายภาพ จากระยะไกลๆ เช่น ถ่ายกีฬาฟุตบอลที่นักบอลอาจอยู่ ไกลถึงครึ่งสนาม เลนส์ที่ใช้อาจเริ่มที่ช่วง 300 มิลลิเมตร ขึ้นไป ส่วนการถ่ายภาพคน ถ่ายแฟชั่น หรือในสตูดิโอ ช่วงเลนส์ที่ใช้โดยมากจะอยู่ ที่ช่วง 50 - 135 มิลลิเมตร

4. เลนส์ซูมหรือเลนส์ฟิกดี
มีเลนส์อยู่สองชนิดคือ zoom กับ prime เลนส์ซูมนั้นเป็น การเอาเลนส์หลายๆ ช่วงมารวมไว้ในเลนส์ตัวเดียว เช่น เลนส์ซูม 24-70 มม. ก็จะมีช่วงเลนส์ 24, 35, 50, 70 เหมือนกับมีเลนส์ถึงสี่ตัว ขณะที่เลนส์ prime หรือเลนส์ ฟิกแต่ละตัวจะมีช่วงทางยาวโฟกัส ช่วงเดียว ถ้าหากคุณ ต้องการใช้ช่วงเลนส์ 24, 35, 50, 70 มิลลิเมตร ก็ต้องซื้อเลนส์มาใส่กระเป๋ากล้องถึงสี่ตัว

เลนส์ฟิกโดยส่วนใหญ่ให้คุณภาพของภาพถ่ายที่ดีกว่า ใช้ งานที่แสงสว่างน้อยๆ ได้ดี เนื่องจากมีรูรับแสงกว้าง ซึ่งทำให้ง่ายในการ โฟกัส โครงสร้างของตัวเลนส์มีชิ้นส่วนน้อย กว่า ทำให้ตัวเลนส์มีน้ำหนักเบา เมื่อเทียบกับเลนส์ซูม ข้อเสียของเลนส์ฟิกก็คือ เมื่อต้องการเปลี่ยนระยะห่าง ระหว่างกล้องกับวัตถุ ก็ต้องออกกำลังกันหน่อย ด้วยการ ซูมเท้าเดินเข้าออกหรือต้องสลับเปลี่ยนช่วง เลนส์ ดังนั้นการใช้เลนส์ฟิกจึงเหมาะกับการถ่ายภาพที่ไม่ถูกกดดันในเรื่องเวลา มีเวลาพิถีพิถันกับการจัดองค์ประกอบ

ไม่ว่าจะใช้เลนส์ซูมหรือเลนส์ฟิก หากรู้จักการวางแผนล่วงหน้า ว่าจะถ่ายอะไร ที่ไหน จะทำให้การเลือกใช้เลนส์ ได้เหมาะสม กับงาน บางงานฟิกใช้ดี บางงานซูมดีกว่า

5. รูรับแสง
เลนส์ทุกตัวมีรูรับแสงกว้างสุดและแคบสุด แต่บนเลนส์จะ มีบอกเฉพาะค่ารูรับแสงกว้างสุด ในขณะที่รูรับแสงแคบ สุดนั้นดูได้จากคู่มือของเลนส์หรือจากเว็บผู้ผลิต

มาดูตัวอย่างเลนส์กับค่ารูรับแสง เริ่มจากเลนส์ฟิก EF 50 F1.8 สิ่งที่จะเห็นคือค่า F1.2 นั่นคือค่ารูรับแสงกว้างสุด ที่เลนส์ตัวนี้มี ตัวที่สองเป็นเลนส์ซูม EF 70-200 F2.8 L ค่า F2.8 ก็เป็นค่ารูรับแสงกว้างสุดของเลนส์รุ่นนี้
ตัวที่สามเป็นเลนส์ซูม EF - S 17-85 F4.5-5.6 IS USM สิ่งที่แตกต่างจากเลนส์สองตัวแรกคือ ค่ารูรับแสงที่เป็น F4.5-5.6 จะเห็นว่ามีค่ารูรับแสงกว้างสุดสองค่า คือ F4.5 ซึ่งจะใช้ได้เมื่อคุณใช้ช่วงซูมที่ระยะ 17 มิลลิเมตร ส่วนอีก ค่าหนึ่งคือ F5.6 ค่านี้จะเป็นค่ารูรับแสงกว้างสุดของช่วง 85 มิลลิเมตร เลนส์ซูมที่มีค่ารูรับแสงกว้างสุดสองค่า จึงมี ข้อจำกัดในเรื่องของการเลือกใช้รูรับแสงกว้างสุด ที่จะขึ้น อยู่กับช่วงซูม หากเปรียบเทียบกับเลนส์ 70-200 F2.8 จะเห็นว่าค่ารูรับแสงกว้างสุดมีค่าเดียว ไม่ว่าคุณจะซูมไป ที่ช่วงไหน ก็สามารถเลือกใช้รูรับแสงกว้างสุดได้ที่ F2.8 เหมือนกัน เลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างเรียกอีกอย่างว่า Fast Lens เพราะรูรับแสงที่กว้างทำให้การโฟกัสเร็วขึ้น

ค่ารูรับแสงแคบสุดเลนส์ Canon สามารถโหลดไฟล์ PDF มาดูได้ เลนส์ Sigma ดูได้จาก Chart แล้วดูตรงหัวข้อ Minimum Aperture นั่นคือค่ารูรับแสงแคบสุดที่เลนส์แต่ละรุ่นปรับได้ เลนส์ซูมบางรุ่นอาจมีสองค่า เช่น 22 - 32 ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับช่วงซูมที่ใช้ เหมือนค่ารูรับแสงกว้างสองค่า

6.เลนส์ยี่ห้อไหนดี
นอกจากเลนส์ที่ผลิตขึ้นโดยผู้ผลิตกล้องแล้ว ผู้ใช้ยังมีทาง เลือกอื่นอีก คือ เลนส์จากผู้ผลิตเลนส์รายอื่น ที่รู้จักดีใน บ้านเราก็ได้แก่ Sigma, Tamron ซึ่งมีเลนส์หลากหลายรุ่น ให้เลือกใช้งาน ไม่น้อยหน้าเลนส์ยี่ห้อเดียวกันกับกล้อง นอกจากนี้ยังมี Tokina, Cosina แต่ไม่ค่อยได้รับความ นิยมเท่าไหร่ เนื่องจากมีเลนส์ให้เลือกน้อยรุ่น

ข้อดีของเลนส์ที่ไม่ใช่ยี่ห้อเดียวกับกล้องคือ ราคาที่ส่วนใหญ่ถูกกว่าเลนส์ยี่ห้อเดียวกับกล้อง (ในรุ่นที่เทียบเท่า หรือใกล้เคียงกัน) ซึ่งช่วยประหยัดงบไปได้หลายพัน แล้วยังได้เลนส์ที่มีคุณภาพไม่ได้เป็นรองเลนส์ยี่ห้อเดียวกับกล้อง แต่ทั้งนี้ก็ต้องพิจารณาเป็น รุ่นๆ ไป เพราะเลนส์ทั้งยี่ห้อเดียวกับกล้องและต่างยี่ห้อ ต่างก็มีข้อดีข้อด้อย บางรุ่นเลนส์ยี่ห้อกล้องดีกว่า บางรุ่นเลนส์ต่างยี่ห้อดีกว่า

ทั้ง 6 ข้อ คงช่วยเป็นแนวทางในการหาเลนส์ที่เหมาะกับ การใช้งาน แม้จะใช้เลนส์ราคาถูก หากเลือกใช้ให้เหมาะ กับงาน จัดองค์ประกอบดี แสงดี มีคอนเซ็ปต์ดี ภาพที่ออก มาสื่อความหมายได้ชัดเจน คุณก็จะได้ภาพถ่ายที่ดีเยี่ยม เช่นกัน

Focal Length เรื่องความยาวของเลนส์

เคยสงสัยกันหรือเปล่าว่า เลนส์ที่ถูกเรียกว่า Wide, Normal, Tele และตัวเลข 24, 35, 50, 85, . . . 200 mm ที่ติดอยู่บนหน้าเลนส์ หรือกระบอกเลนส์หมายถึงอะไร ถ้าสงสัยบทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัย

โครงสร้างของเลนส์มีชิ้นส่วนต่างๆ มากมายประกอบกัน และชิ้นส่วนสำคัญที่สุดก็คือชิ้นเลนส์ ที่ทำมาจากแก้ว หรือพลาสติก ภายใน กระบอกเลนส์จะมีจำนวนชิ้นเลนส์หลายๆ ชิ้นด้วยกัน เลนส์บางรุ่นอาจมีชิ้นเลนส์ถึง 18 ชิ้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับประเภทของเลนส์ ขนาด และเกรดของเลนส์ ถึงแม้จะมีจำนวนชิ้นเลนส์มากมาย แต่หลักการ ทำงานของเลนส์จะเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเลนส์ราคา หลักพันหรือราคาหลักแสน

Positive Lens
เลนส์ที่อยู่ด้านหน้าของกระบอกเลนส์เป็นเลนส์ ที่มีผิว นูนขึ้น เลนส์นูนจะทำให้แสงที่ผ่านเข้ามา เบนเข้ามา รวมกันเหมือนกรวย จุดที่แสงมารวมกันเรียกว่า Focal Point ถ้าคุณจำสมัยเด็กที่ใช้แว่นขยายไปส่องใบไม้ กลางแสงแดด เวลาขยับแว่นเข้าออก จะเห็นแสงแดด ส่องเป็นจุดลงบนใบไม้ นั่นคือลักษณะของแสงที่ถูกทำให้มารวมกันเป็นจุด จากแสงแดดที่ไม่ได้ร้อนมากมาย แต่พอรวมเป็นจุด กลับมีพลังความร้อนที่ทำให้เกิดเป็นไฟได้

Negative Lens
เป็นเลนส์ที่อยู่ด้านท้ายของกระบอกเลนส์ ลักษณะของ ผิวหน้าเลนส์จะเว้าลงไป ทำให้แสงที่ผ่านเลนส์ถูกทำให้ กระจายออก ทั้งนี้ก็เพื่อให้แสงกระจายได้ครอบคลุม พื้นที่ของฟิล์มหรืออิมเมจเซ็นเซอร์ของกล้องดิจิตอล

Image Frame
ฟิล์มหรืออิมเมจเซ็นเซอร์เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม ส่วนแสงที่ผ่านเลนส์เข้ามานั้นเป็นวงกลม เพื่อให้ได้ภาพที่เต็มพื้นที่ของฟิล์ม หรือ อิมเมจเซ็นเซอร์ ขนาดวงกลมของแสง จะมีขนาดใหญ่กว่าพื้นที่ของฟิล์มหรืออิมเมจเซ็นเซอร์ โดยส่วนที่เกินก็จะถูกตัดออกไป การทำให้วงกลมของแสงมีขนาดใหญ่กว่าพื้นที่ฟิล์มหรืออิมเมจเซ็นเซอร์ จะต้องคำนึงถึงเรื่องความสว่างและความคมชัดของภาพ ด้วย เนื่องจากธรรมชาติของแสง มีรูปทรงเป็นชั้นๆ เหมือนหัวหอม ส่วนที่เป็นแกนกลาง (Airy Disc) จะมี ความสว่างมาก ในขณะที่ วงรอบนอกจะค่อยๆ มืดลง ซึ่งเรียกว่า Vignetting
เพื่อให้แน่ใจว่าภาพถ่ายมีความสว่างทั่วถึงกัน วงกลม ของแสงที่ครอบคลุมพื้นที่ฟิล์มหรืออิมเมจเซ็นเซอร์ จึง เสมือนมีสองชั้น ชั้นนอกคือขนาดวงกลมของแสงทั้งหมด ชั้นในคือแสงส่วนที่ครอบคลุมพื้นที่ฟิล์มหรืออิมเมจ เซ็นเซอร์ แสงส่วนนี้จะทำให้เกิด ภาพถ่าย ที่มีความคมชัด มีความสว่างทั่วถึง ขนาดวงกลมแสงชั้นในจะต้องมีเส้นผ่าศูนย์กลางครอบคลุมพื้นที่ฟิล์ม หรืออิมเมจเซ็น เซอร์ ในแนวทะแยงมุม

Normal Length
การบิดเบือนของภาพถูกนำมาเปรียบเทียบกับการมองเห็นของสายตาคนเรา โดยนำภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์แต่ละระยะ มาเปรียบ เทียบกับการมองเห็นด้วยตาเปล่า เลนส์ระยะใดถ่ายภาพออกมา แล้วสัดส่วนของภาพมีความใกล้เคียงกับที่สายตาคนเรามองเห็น มากที่สุด ก็จะเรียกว่าเลนส์ Normal คือไม่มีการบิดเบือนของภาพ หรือมีก็น้อยที่สุด แต่เนื่องจากขนาดของฟิล์มหรืออิมเมจ เซ็นเซอร์มีหลาย ขนาด ระยะของเลนส์ที่เป็นช่วง Normal จึงแตกต่างกัน ออกไป

กล้อง DSLR อิมเมจเซ็นเซอร์ขนาด APS-C ช่วงเลนส์ Normal คือ 30mm กล้อง DSLR 35mm Full Frame ช่วงเลนส์ Normal คือ 50 mm กล้อง Medium Format ช่วงเลนส์คือ 80mm จะเห็นว่ายิ่งฟิล์มหรืออิมเมจเซ็นเซอร์เล็กลง ช่วงเลนส์ Normal ก็จะสั้นลงไปด้วย ส่วนช่วงเลนส์ที่น้อยกว่า ช่วง Normal จะเรียกว่าเป็นเลนส์ Wide คือมีองศา การเห็นภาพที่กว้าง เช่น 24mm, 14mm และเลนส์ที่มี ค่ มากกว่าช่วง Normal จะเรียกว่าเลนส์ Tele ซึ่งจะเริ่ม มีองศาการเห็นภาพแคบลง เช่น 100mm, 135mm

ความแตกต่างของระยะเลนส์ มีผลต่อระยะห่างระหว่าง สิ่งที่คุณจะถ่ายกับตัวกล้องด้วย เลนส์ที่มีระยะ Focal Length สั้นมากๆ ระยะ โฟกัสจะเข้าใกล้วัตถุได้มากกว่า เลนส์ที่มีระยะ Focal Length สูง ดังจะเห็นได้จากกล้องดิจิตอลคอมแพค ที่อวดอ้างว่าถ่ายมาโคร ได้ใกล้ 1 เซ็น ติเมตร ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นผลมาจากช่วง Focal Length สั้นมากๆ เพียงแค่ไม่กี่มิลลิเมตร เมื่อเอาไปถ่ายภาพ ดอกไม้ ก็จะได้ดอกไม้ที่ทรงป่องๆ บวมๆ ขึ้นมา ในขณะที่เลนส์ ที่มีช่วง Focal Length ยาวกว่า คุณจะต้องถอยห่างจากวัตถุมากขึ้น ถ้าอยู่ใกล้เกินไปเลนส์จะปรับโฟกัสให้ชัดไม่ได้ อย่างเช่นเลนส์ช่วง 200mm ระยะโฟกัส อาจต้องเริ่มที่ 1.5 - 2 เมตร ขึ้นไป พื้นที่ ในขณะถ่ายภาพ จึงต้องมีระยะอย่างน้อย 3 เมตรขึ้นไป

ตัว เลขบอกระยะบนเลนส์เป็นส่วนที่ทำให้คุณทราบถึงระยะ จุดรวมแสงถึงแผ่นฟิล์มหรืออิมเมจเซ็นเซอร์ องศารับภาพ ของเลนส์ ระยะห่างในการโฟกัส ซึ่งมีผลต่อการเลือกใช้ เลนส์ อย่างไรก็ตามยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมาย เกี่ยวกับเลนส์

Image Format ขนาดของภาพกับประเภทของกล้อง


Image Format ขนาดของภาพกับประเภทของกล้อง

กล้องถ่ายภาพถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภท การแบ่งจะขึ้นอยู่กับโครงสร้างหรือลักษณะการทำงาน และขนาดของฟิล์มหรืออิมเมจ เซ็นเซอร์ที่ใช้กับกล้อง ประเภทของกล้องถูกแบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ
1. Rangefinder
2. Single lens reflex 35 mm
3. Single lens reflex medium format
4. Twin lens reflex medium format
5. View camera (Large format)

ถึงกล้องจะมีมากมายหลายแบบ แต่ถ้าเจาะจงลงไปในกลุ่มที่ถ่ายภาพเป็นอาชีพ กล้องที่ถูกนำมาใช้งานจะมี เพียงสามแบบคือ SLR 35 mm, Medium format และ Large format หรือที่ เรียกในอีกชื่อว่า View camera การเลือกใช้งานนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของภาพ ที่ต้องการ อุปกรณ์เสริมและความคล่องตัวที่ง่ายต่อการนำไปใช้

35 mm
เป็นฟิล์มที่ถูกใช้มากที่สุด ทั้งในการถ่ายทำภาพยนตร์ และภาพนิ่ง เหตุผลก็เนื่องจากตัวกล้องที่ใช้มีขนาดเล็ก มีความคล่องตัว ในการใช้งานสูง โดยเฉพาะในกลุ่ม นักข่าวที่ต้องการใช้กล้องที่มีความคล่องตัวสูง ก่อนที่การ ใช้งานจะแพร่หลายสู่กลุ่มผู้ใช้ทั่วไป ฟิล์ม 35 มิลลิเมตร มีขนาดพื้นที่รับภาพ 36x24 มิลลิเมตร

กล้อง ดิจิตอล SLR ที่มีขนาดของอิมเมจเซ็นเซอร์ 36 x 24 มิลลิเมตร จะถูกเรียกว่า Full-Frame เพราะมีขนาด ของอิมเมจเซ็นเซอร์ ใหญ่เท่ากับฟิล์ม 35mm นั่นเอง ตัวอย่างกล้องฟูลเฟรมก็เช่น Canon EOS 1Ds, EOS 5D, Nikon D3 เป็นต้น

APS (Advanced Photo System)
ฟิล์มชนิดนี้มีพื้นที่รับภาพสามขนาดคือ High Definition (H) มีพื้นที่รับภาพ 30.2x16.7 มิลลิเมตร Classic (C) มีพื้นที่รับภาพ 25.1x16.7 มิลลิเมตร และ Panoramic (P) มีพื้นที่รับภาพ 30.2x9.5 มิลลิเมตร เนื่องจากขนาดฟิล์มที่เล็ก คุณภาพที่ดีอยู่ที่การอัด 4x6 นิ้ว เมื่อขยายไปถึง 8x10 นิ้วก็เริ่มเห็นความบกพร่อง ทำให้ไม่ได้รับการ ยอมรับในกลุ่มมืออาชีพ อีกทั้งต้นทุนในการล้างอัดยังสูงกว่าฟิล์ม 35 มิลลิเมตร

กล้อง ดิจิตอล SLR ส่วนใหญ่มีขนาดอิมเมจเซ็นเซอร์ ใกล้เคียงกับฟิล์ม APS-C คือ 22.2x14.8 มิลลิเมตร (กล้อง Canon) และ 23.6x15.8 มิลลิเมตร (กล้อง Nikon) จึงเรียกว่ากล้องดิจิตอลเอสแอลอาร์แบบ APS-C ตัวอย่างกล้องก็เช่น Canon EOS 40D, 400D, Nikon D80, D300, D40, Pentax K10D จะมีข้อยกเว้นก็คือ Canon EOS 1D มีขนาดอิมเมจเซ็นเซอร์ใกล้เคียงกับ ฟิล์ม APS-H และ Olympus ที่มีขนาดอิมเมจเซ็นเซอร์ 18x13.5 มิลลิเมตร ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะว่า Four Third

Medium Format
ขนาดของฟิล์มที่อยู่ตรงกลางระหว่างฟิล์ม 35 กับฟิล์ม 4x5 นิ้ว ฟิล์มแบบมีเดียมฟอร์แมตนั้นไม่มีขนาดมาตรฐาน ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต มีขนาดให้งงเล่น เช่น 6x6, 6x4.5, 6x7, 6x9 เซ็นติเมตร ด้วยขนาดฟิล์มที่แตกต่างกัน กล้องมีเดียมฟอร์แมตจึงออกแบบ ให้ฝาด้านหลังของกล้อง ซึ่งเรียกว่า Backs สามารถถอดเปลี่ยน หรือสลับไปใช้ฝาหลังที่รองรับฟิล์มขนาดอื่นได้ และยังสามารถ เปลี่ยนไปใช้ฝาหลังที่เป็นดิจิตอลได้ ซึ่งเรียกว่า Digital Backs

กล้อง ดิจิตอลแบบ Medium Format มีขนาดของอิมเมจเซ็นเซอร์ ประมาณ 48x36 มิลลิเมตร ซึ่งเล็กกว่าฟิล์มมีเดียมฟอร์แมต ตัวอย่างของกล้องก็เช่น PhaseOne, Sinar, Leaf, Mamiya

View Camera
ลองนึกถึงขนาดฟิล์มที่ใหญ่กว่า 20x24 นิ้ว ซึ่งมีขนาดพอๆ กับ จอแอลซีดี 19 นิ้วดู ฟิล์มขนาดนี้แล้วตัวกล้องจะขนาดไหน โชคดี ที่ในปัจจุบันกล้องวิวนิยมใช้กันแค่สองขนาดคือ 8x10 และ 4x5 นิ้ว ทำให้กล้องและอุปกรณ์ต่างๆ มีขนาดเล็กลงและสะดวกพอที่ จะเอาไปใช้งานข้างนอกได้

กล้องวิวถูกพัฒนาให้ใช้ระบบดิจิตอลเช่นเดียวกับกล้องประเภทอื่นๆ โดยสามารถใช้ Digital Backs ของกล้องมีเดียมฟอร์แมต หรือถ้าต้องการขนาดและคุณภาพที่สูงกว่าก็ใช้ Digital Scanning Backs ซึ่งมีขนาดของอิมเมจเซ็นเซอร์ใหญ่ถึง 4x5 นิ้ว ระดับ 130 ล้านพิกเซล ไฟล์เกือบ 800 เมกะไบต์ต่อไฟล์ ตัวอย่างกล้องวิวก็ได้แก่ Sinar, Linhof, Betterlight เป็นต้น

ทั้งหมดนี่ก็คือขนาด ของฟิล์มหรืออิมเมจเซ็นเซอร์ ซึ่งนอกจากจะเป็นสิ่งที่ทำให้กล้องถูกแบ่งแยกเป็นประเภท ต่างๆ แล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือคุณภาพของภาพถ่าย งานบางประเภทต้องใช้ต้นฉบับภาพที่มีขนาดใหญ่ มีรายละเอียดที่ครบถ้วน เช่นงาน ถ่ายภาพแฟชั่น งานถ่ายภาพด้านพิพิธภัณฑ์ ภาพถ่ายที่มีขนาดใหญ่ รายละเอียดของสิ่งเล็กๆ ก็จะเห็นชัดขึ้น ช่วยให้การแก้ไข สะดวกและแม่นยำกว่า และในการพิมพ์ก็จะได้ภาพถ่ายที่มีความคมชัดสูง แต่กับงานบางประเภทก็ไม่จำเป็นต้องใช้ภาพ ถ่ายที่มีขนาดใหญ่โต อย่างเช่นหนังสือพิมพ์ ใช้เพียงภาพถ่ายเล็กๆ เสียเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งกระดาษหนังสือพิมพ์ก็ไม่ได้ รองรับงานพิมพ์คุณภาพสูง

แสงแฟลร์


แสงแฟลร์


ภาพนี้ไม่ใช่เทคนิคการถ่ายภาพที่จะนำเสนอ แต่เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้หากคุณไม่ระมัดระวังเมื่อถ่ายภาพย้อนแสง ทำให้เกิดลำแสง หรือมีแสงเป็นวงกลมบนภาพถ่าย ซึ่งเรียกว่าแสงแฟลร์ (flare) แสงแฟลร์เกิดขึ้นได้กับแหล่งกำเนิดแสงหลายๆ ชนิด ไม่ได้เกิดขึ้น เฉพาะกับแสงของดวงอาทิตย์อย่างภาพตัวอย่างนี้เท่านั้น แสงไฟตามถนน แสงแฟลช หรือแม้แต่ไฟสตูดิโอที่ใช้อยู่ในสตูดิโอก็ตาม

การป้องกันไม่ให้เกิดแสงแฟลร์ก็ทำได้โดยติดฮูดบังแสงที่หน้าเลนส์ ถ้าไม่มีฮูดก็ใช้มือบังหรืออาจจะใช้กระดาษบังแสงที่ส่องเข้ามา ส่วนในสตูดิโอก็ใช้ผ้าสีดำกั้นบังแสงที่จะส่องเข้ามาหน้าเลนส์ตรงๆ โดยเฉพาะกับแสงที่ใช้ส่องทำไฮไลต์บนเส้นผม หรือแม้แต่แสง ด้านหน้าที่ใช้ร่มกระจายแสง หากไม่ระมัดระวังก็ทำให้เกิดแสงแฟลร์ได้เช่นกัน ดังนั้นหากไม่ต้องการให้เกิดแสงแฟลร์บนภาพถ่าย ก็อย่าลืมวิธีการป้องกัน

เงาสะท้อน


เงาสะท้อน


มีความสวยงามที่ถูกมองข้ามอยู่เสมอ การได้เห็นอะไรบ่อยๆ บางครั้งก็กลายเป็นความเคยชิน แล้วมองว่าเป็นสิ่งธรรมดาๆ และยังมี อีกหลายเหตุที่ทำให้เรามองข้ามบางสิ่งไป แล้วก็ทำให้พลาดโอกาสที่จะได้ภาพสวยๆ


การถ่ายภาพไม่จำเป็นต้องเร่งรีบแข่งกับเวลาเสมอไป บางครั้งต้องหันหลังกลับเพื่อมองสิ่งที่เดินผ่านมา บางครั้งต้องหยุดมองรอบๆ ตัว เพื่อสังเกตสภาพแวดล้อมรอบๆ บางครั้งต้องแหงนหน้ามองสูงขึ้นไป บางครั้งก็ต้องก้มลงต่ำ อย่างภาพเงาสะท้อนนี่ก็เช่นกัน หากมองสูงเกินไปก็จะเห็นแค่เจ้าของเงา การเป็นคนช่างสังเกต จะทำให้คุณได้พบกับสิ่งสวยๆ มากมายที่รอให้ถ่ายภาพอยู่เสมอ

ดำเด่น เน้นรูปทรง


ดำเด่น เน้นรูปทรง


ในขณะที่ภาพถ่ายส่วนใหญ่จะเห็นรายละเอียด เห็นสีสันบนภาพถ่าย แต่ยังมีภาพถ่ายแบบ Silhoutte (ซิลูเอ็ต) ที่ใช้รูปร่างของสิ่ง ต่างๆ มานำเสนอผ่านทางเงาสีดำ เพื่อการนำเสนอความงดงามของรูปทรง รูปร่างของสิ่งต่างๆ แทน

สิ่งสำคัญของการถ่ายภาพซิลูเอ็ตนั้นอยู่ที่การเลือกรูปทรงของสิ่งที่จะถ่าย ต้องมีรูปทรงที่มีความงดงาม มีความโดดเด่น มีลักษณะ พิเศษ ที่เมื่อกลายมาเป็นเพียงเงาสีดำแล้ว จะยังความงดงามของรูปทรงอยู่ และยังทำให้คนที่เห็นจินตนการหรือมองออกได้ว่า เจ้าเงาสีดำเป็นเงาของอะไร

การถ่ายภาพซิลูเอ็ตก็คล้ายๆ กับการถ่ายภาพดอกไม้ให้ฉากหลังดำ เพียงแต่จะเป็นด้านตรงข้าม นั่นคือสภาพแสงในบริเวณฉากหลัง จะต้องมีความสว่างมากกว่า หรืออธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ให้แสงอยู่ทางด้านหลังของสิ่งที่คุณจะถ่ายภาพนั่นเอง เมื่อเลือกเหลี่ยม เลือกมุมได้แล้ว ก็วัดแสงในบริเวณที่สว่าง อย่างในภาพที่ผมถ่ายมานี้ ก็วัดแสงบริเวณใกล้ๆ ดวงอาทิตย์ เนื่องจากเป็นบริเวณที่สว่าง ทำให้ได้ความเร็วชัตเตอร์ที่สูงมาก เมื่อถ่ายภาพออกมาก็ทำให้สะพานกับเสาไฟเป็นเงาดำ

คำเตือน : อันตรายเสมอเมื่อมองดวงทิตย์ด้วยตาเปล่า ในขณะที่แสงดวงอาทิตย์ยังร้อนแรง คุณสามารถวัดแสงบริเวณท้องฟ้าส่วน ที่ห่างจากดวงอาทิตย์แทนได้ แล้วปรับความเร็วชัตเตอร์หรือรูรับแสง +/- จากค่าที่วัดได้

แสงจากด้านหลัง


แสงจากด้านหลัง


การถ่ายภาพโดยพึ่งภาพแสงธรรมชาติ โดยเฉพาะแสงของดวงอาทิตย์ ไม่ใช่รอแค่ดวงอาทิตย์ขึ้น มีแสง แล้วก็ออกไปถ่ายภาพ คุณจะต้องดูว่าเวลาไหนทิศทางแสงเป็นอย่างไร ทิศทางของแสงมีผลต่อรูปร่าง มีผลต่อสีสัน มีผลต่อความคมชัด ของสิ่งที่กำลังจะ กลายมาเป็นภาพถ่าย แต่การจะไปสั่งให้ดวงอาทิตย์ขยับซ้าย ขยับขวา ขยับขึ้น ขยับลง ไม่สามารถทำได้ สิ่งที่ทำได้มีเพียงรอเวลา ดูว่าเวลาไหนทิศทางแสงเป็นอย่างไร แล้วแสงที่ส่องมามีผลอย่างไร

ภาพดอกเบญจมาศดอกนี้ถ่ายในช่วงบ่ายสามของช่วงฤดูหนาว ระดับแสงจะทำมุมราว 45 องศากับพื้น เลือกมุมให้แสงส่องมาทาง ด้านหลังของดอกไม้ แสงที่ส่องมาทางด้านหลังทำให้เกิดแสงไฮไลต์สีขาวบริเวณขอบของกลีบดอก ซึ่งจะทำให้ดอกไม้เด่นออกจาก ฉากหลัง และแสงที่ลอดผ่านกลีบดอกยังทำให้เกิดระดับโทนสีที่แตกต่างกัน เพิ่มความสวยงามให้กับดอกไม้มากยิ่งขึ้น

ดอกไม้กับฉากหลังสีดำ


ดอกไม้กับฉากหลังสีดำ


ดอกไม้สีสดใสกับฉากหลังที่เป็นสีดำสนิทช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้ดอกไม้ วิธีการถ่ายภาพเพื่อให้ได้ฉากหลังเป็นสีดำ แบบง่ายที่สุด ก็คือหาผ้าหรือกระดาษสีดำไปกางไว้ด้านหลัง บางทีก็เล่นง่ายๆ ให้เพื่อนที่ใส่เสื้อสีดำนั่นหล่ะทำตัวให้เป็นประโยชน์ ไปนั่งเป็นฉาก

ภาพตัวอย่างนี้เป็นภาพที่ไม่ได้ใช้ผ้าสีดำไปกางไว้ด้านหลัง ระหว่างเดินถ่ายภาพดอกไม้ในสวนดอกไม้ เจอเจ้าดอกนี้โดนแสงแดด ส่องลอดใบไม้ลงมาเต็มๆ ส่วนด้านหลังที่ไกลออกไปก็เป็นใบไม้สีเข้มๆ ทำให้เกิดความแตกต่างของสภาพแสงที่ต่างกันมาก ในสภาพ อย่างนี้ก็ง่ายมากที่จะถ่ายออกมาให้เป็นฉากหลังที่ดำสนิท เพราะว่าสภาพแสงที่ต่างกันมากระหว่างบริเวณดอกไม้กับฉากหลัง

ขั้นตอนก็ง่ายมาก เพียงเลือกระบบวัดแสงของกล้องเป็นแบบเฉพาะจุด หรือแบบบริเวณกลางภาพ จากนั้นก็วัดแสงในบริเวณที่สว่าง ที่สุดของดอกไม้ แล้วก็จัดการถ่ายภาพ เพียงเท่านี้ก็จะได้ดอกไม้ที่ฉากหลังดำ เหตุผลที่ทำให้ฉากหลังเป็นสีดำก็เพราะว่าค่าแสงที่ กล้องวัดได้ จะได้ความเร็วชัตเตอร์ที่สูง จนทำให้เก็บรายละเอียดของฉากหลังได้นั่นเอง

อย่ายึดติดกับฉากหลังสีดำมากเกินไป : จริงอยู่ที่ดอกไม้กับฉากหลังสีดำ ทำให้ดอกไม้โดดเด่นขึ้นมา แต่ถ้าหากถ่ายกี่ภาพๆ ก็ให้สีดำ เป็นฉากหลัง นั่นจะทำให้อารมณ์ของภาพดูแข็งกระด้าง และยังทำให้มีข้อจำกัดในการนำไปใช้งาน เช่น ทำปฏิทิน หรือตีพิมพ์ในนิตยสาร ภาพที่มีฉากหลังเป็นสีดำจะทำให้การใช้สีสำหรับตัวหนังสือ หรือภาพกราฟิกประกอบทำได้ยากขึ้น ลองหานิตยสาร Martha Stewart Living คุณจะได้เห็นสไตล์การถ่ายภาพดอกไม้ที่ใช้โทนสีเป็นสีอ่อน เพื่อสื่อออกมาถึงความ อ่อนหวาน ความมีเสน่ห์ของผู้หญิง ผ่านทางช่อดอกไม้

เล่นกับอารมณ์


เล่นกับอารมณ์


การแสดงออกทางใบหน้า หรือที่เรียกว่า expression เป็นสิ่งที่ช่วยเติมความมีชิวิตให้กับภาพพรอเทรท และยังเป็นการทำให้ ภาพถ่ายติดต่อสื่อสารกับคนดู โดยธรรมชาติของคนเราแล้วมีวิธีการแสดงออกของภาษากาย ซึ่งจะปรากฏออกมาทาง ใบหน้า แววตา มือ เท้า เสียงพูด ฯลฯ

ภาษากายที่แสดงออกมา ทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆ ทราบว่าเวลานี้คุณมีความสุข คุณโกรธ คุณเศร้า คุณเหงา คุณเครียด คุณกำลังใช้ ความคิดอยู่ ถึงแม้คุณจะไม่พูดออกมาแต่คนที่อยู่ใกล้ก็รู้ได้ ภาษากายจึงเป็นวิธีการติดต่อสื่อสารอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ถูกนำมาใช้ในการ ถ่ายภาพพรอเทรท

นางแบบ นายแบบ หรือนักแสดงอาชีพ ที่มีประสบการณ์สูงๆ บางคนจะสามารถแสดงอารมณ์ออกมาทางใบหน้าได้ ส่วนคนที่ไม่ สามารถแสดงอารมณ์ออกมาได้ ช่างภาพหรือทีมงาน ก็ต้องเรียนรู้วิธีการที่จะทำให้ตัวแบบแสดงอารมณ์ออกมาได้ อยากให้ตัวแบบ หัวเราะหรือยิ้ม ก็อาจจะเล่าเรื่องตลกๆ ระหว่างการถ่ายภาพ ลองดูว่าภาพพรอเทรทของคุณได้ใส่อารมณ์ให้กับภาพถ่ายแล้วหรือยัง

ให้แสงช่วยเน้นลวดลาย


ให้แสงช่วยเน้นลวดลาย


สิ่งของตามธรรมชาติหลายๆ สิ่งมีสีสัน มีลวดลายที่มีความสวยงามเฉพาะตัว อย่างดอกกล้วยไม้แวนด้าสีน้ำเงิน (Vanda coerulea) ก็จะมีลายของกลีบดอกคล้ายๆ ตาข่ายอยู่ทั่วกลีบ ซึ่งกล้วยไม้สกุลนี้ส่วนใหญ่จะมีลวดลาย อย่างแวนด้า tricolor ก็จะมีกลีบดอกสีขาว มีลายกลีบดอกเป็นสีชมพูและสีน้ำตาล

เพื่อจะทำให้เห็นลวดลายของกลีบดอกให้เด่นชัดขึ้น งานนี้ก็ต้องใช้แสงช่วย ใช้เพียงแสงแดดช่วงกลางวันก็เพียงพอ เลือกดูดอกสวยๆ แล้วก็ดูทิศทางของแสง ให้แสงส่องมาจากด้านหลังของดอก (ที่ผมเลือกให้ทิศทางแสงมาจากด้านหลังของกลีบดอกก็เพราะว่า ดอกกล้วยไม้แวนด้าสีน้ำเงิน จะมีกลีบดอกค่อนข้างโปร่งแสง เมื่อมีแสงมาจากด้านหลังก็จะทำให้เห็นลายดอกชัดขึ้น)

แยกแฟลชจากกล้อง


แยกแฟลชจากกล้อง


ฮ็อตชูแฟลชหรือแฟลชภายนอก เมื่อต้องการใช้งาน ไม่จำเป็นต้องติดตั้งเข้ากับอ็อตชูของกล้องเสมอไป คุณสามารถแยกออกไปวาง ในตำแหน่งที่จะทำให้ได้ทิศทางแสงหรือลักษณะแสงอย่างที่ต้องการ และยังสามารถใช้ร่วมกับอุปกรณ์ปรับแต่งแสงที่มีให้เลือกใช้ งานอย่างหลากหลาย

ภาพด้านบนเป็นภาพพิมพ์ดินเหนียวเครื่องทองเหลือง ที่จัดเรียงเอาไว้ในร่ม หากถ่ายภาพในแสงธรรมชาติก็จะได้ภาพที่มีสีหม่นๆ เพราะไม่มีแสง ไม่มีคอนทราสต์อะไรเลย เพื่อให้ได้ภาพที่ดีกว่า จึงแยกเอาแฟลช Canon 580EX2 ไปตั้งไว้ทางด้านขวา ให้แฟลช อยู่สูงกว่าระดับพิมพ์ แสงจากแฟลชที่มาจากด้านข้าง ทำให้รูปทรงของพิมพ์มีรูปทรงเป็นสามมิติเด่นชัดขึ้น เพราะมีด้านที่โดนแสง แฟลช และด้านที่เป็นเงามืด แสงแฟลชยังช่วยเพิ่มความลึกให้กับภาพ จากความสว่างแล้วค่อยๆ มืดลง

ถ่ายภาพให้แสงเป็นประกาย


ถ่ายภาพให้แสงเป็นประกาย


มีภาพแปลกๆ มากมายที่เกิดจากการถ่ายภาพอย่างจงใจ หรือได้มาด้วยความบังเอิญ แต่ไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีไหน ภาพที่ได้มาก็สร้าง ความสุขให้ได้เสมอ ภาพนี้เป็นภาพถ่ายธรรมดาที่คุณสามารถนำไปทดลองถ่ายได้ เพราะไม่ได้ใช้เทคนิดพิศดาร ไม่มีฟิลเตอร์อะไร พิเศษ

เมื่อคุณถ่ายภาพไฟประดับตามท้องถนน ไฟประดับอาคาร หรือดวงอาทิตย์ คุณสามารถทำให้ดวงไฟเป็นประกายรูปแฉกได้ แทนที่ จะเป็นดวงกลมหรือเป็นรูปร่างของหลอดไฟตามปกติ วิธีการนั้นก็ง่ายมากเพียงแค่ใช้รูรับแสงแคบๆ คุณสามารถทดลองถ่ายภาพ โดยใช้ค่ารูรับแสงที่แตกต่างกัน เช่น ภาพแรกถ่ายโดยใช้รูรับแสงที่ f8 ภาพต่อไปลองใช้ f11 หรือ f16 ลองดูว่ารูรับแสงขนาดไหน ได้ภาพแสงที่เป็นประกายอย่างที่ต้องการ

คำเตือน : หากต้องการถ่ายภาพดวงอาทิตย์ในช่วงที่แสงแรง ห้ามมองที่ดวงอาทิตย์โดยตรง หรือมองผ่านช่องมองภาพ เพราะเป็น อันตรายต่อดวงตาอย่างมาก ภาพนี้ผมถ่ายโดยปรับโฟกัส วัดแสง ปรับค่ารูรับแสง โดยเล็งกล้องไปที่เรือ เมื่อได้ค่าที่ต้องการก็ค่อย เลื่อนกล้องให้ได้ดวงอาทิตย์อยู่ในเฟรม แล้วจึงกดชัตเตอร์ถ่ายภาพ

แสงช่วงเช้า


แสงช่วงเช้า


เช้าตรู่เป็นช่วงเวลาโปรดของคนที่ชอบถ่ายภาพวิว ยิ่งในช่วงปลายฝนต้นหนาวที่อากาศเริ่มเย็นลง ความสวยงามของท้องทุ่งจะสวย กว่าฤดูอื่น ดอกไม้หลายชนิดบานในฤดูนี้ นาข้าวก็เริ่มเปลี่ยนจากเขียวเข้มเป็นหลืองทอง ต้นไม้ใบไม้ก็ยังคงเขียวสดชื่นอยู่ แล้วยังมี ไอหมอกช่วยสร้างโทนสีเทาบนผืนป่าอีก

หากคุณต้องการถ่ายภาพวิว ควรเลือกช่วงเวลาเช้า ตั้งแต่เวลาตีห้าไปถึงราวๆ เก้าโมงเช้า ช่วงเวลานี้เรียกว่าเป็น Golden Hour เนื่องจากแสงแดดจะออกมาเป็นโทนสีเหลือง สีส้ม หรือสีทอง เหตุผลที่ทำให้แสงแดดในช่วงเช้าออกมาเป็นโทนสีเหลือง ก็เพราะว่า คลื่นแสงโทนสีเหลืองหรือแดง มีความยาวคลื่นมากกว่า ทำให้สามารถส่องผ่านพวกไอหมอก พวกความชื้นในบรรยากาศได้ดีกว่า ทำให้แสงออกมาเป็นโทนสีเหลืองนั่นเอง แต่พอเริ่มสายขึ้น แสงแดดก็จะค่อยๆ กลายเป็นสีน้ำเงิน

เหตุผลที่ต้องตื่นเช้าไปถ่ายภาพวิวไม่ใช่แสงแดดสีเหลือง แสงแดดช่วงเช้าจะอยู่ในระดับต่ำมากๆ มีบางส่วนโดนแสงแดดส่องแล้ว แต่พื้นที่บางส่วนยังเป็นเงามืด หรืออาจโดนเงาต้นไม้ เงาภูเขาบัง สิ่งนี้เองทำให้เกิดระดับความสว่างที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดความลึก เพราะระดับความสว่าง ระดับโทนสีที่แตกต่างกัน

แสงแดดช่วงเช้าไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดสีสัน เกิดลวดลายจากแสงและเงาบนพื้นแล้ว ช่วงเช้าๆ ภาพวิวจะมีความชัดใสมากกว่าช่วง กลางวัน อันเป็นผลมาจากไอความร้อน และช่วงเช้ายังทำให้ได้ภาพที่รู้สึกถึงความเงียบสงบ ความสดชื่นตามมาอีก ดังนั้นหากคุณ อยากถ่ายภาพวิวสวยๆ เก็บเอาไว้ ก็ต้องตื่นเช้าๆ กันหน่อย ส่วนตอนกลางวันนอนตีพุงหลบแดดร้อนดีกว่า

พรินเตอร์สร้างโทนสีที่ดูต่อเนื่องกันบนแผ่นกระดาษได้อย่างไร


พรินเตอร์สร้างโทนสีที่ดูต่อเนื่องกันบนแผ่นกระดาษได้อย่างไร

ระบบการพิมพ์ทั้งแบบอนาล็อกและดิจิตอล มีวิธีการพิมพ์ให้สีแต่หยด แต่ละจุด ที่เมื่อพิมพ์ลงบนแผ่นกระดาษให้กลายเป็นโทนสีที่ดู ต่อเนื่องกลมกลืนกัน จนบางครั้งสายตาคนก็ดูไม่ออกว่านี่คือภาพที่เกิดจากจุดเล็กๆ ของสีที่พรินเตอร์หรือเครื่องพิมพ์สร้างขึ้น เพื่อที่ จะทำให้เกิดโทนสีที่ดูต่อเนื่องกัน (Continuous Tone) พรินเตอร์และเครื่องพิมพ์มีวิธีการสร้างโทนสีให้ดูต่อเนื่องกันสามวิธีคือ Halftone Screening, Digital Halftone และ Alternative Screening (Dithering) อย่างใดอย่างหนึ่ง

Halftone Screening
เกิดขึ้นในช่วงปี 1850 แต่กว่าจะพัฒนามาใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ก็อยู่ในช่วงปี 1881 และเป็นการพิมพ์ระบบอนาล็อก ส่วนการพิมพ์ ระบบดิจิตอลนั้นเกิดขึ้นในปี 1970 ซึ่งเป็นการพัฒนาเพื่อพิมพ์จุดลงบนแผ่นฟิล์ม ต่อมาในปี 1980 ก็พัฒนาจนสามารถพิมพ์ลงบน ฟิล์มและกระดาษได้ และยังสามารถพิมพ์ตัวอักษร ภาพถ่าย ภาพกราฟิกต่างๆ ได้ด้วย เครื่องพิมพ์ที่ใช้เทคนิคนี้ก็คือเครื่องพิมพ์ ระบบออฟเซ็ต
เทคนิคการพิมพ์แบบ Haltone จะใช้วิธีการพิมพ์หรือสร้างจุดที่มีขนาดแตกต่างกันลงบนกระดาษ หากต้องการสร้างโทนสีที่เข้ม เครื่องพิมพ์ก็จะพิมพ์จุดขนาดใหญ่ลงไป หากต้องการสร้างโทนสีที่ดูจางลง ก็จะพิมพ์จุดที่มีขนาดเล็กกว่าลงไป จุดที่มีขนาดเล็ก จะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างจุดมากขึ้น ส่วนจุดที่มีขนาดใหญ่ จุดแต่ละจุดก็จะอยู่ชิดกันมากขึ้น วิธีการนี้ทำให้สายตาของคนมองเห็น เป็นโทนสีที่มีน้ำหนักสีเข้ม อ่อน แตกต่างกัน สำหรับการพิมพ์ที่ใช้หมึกสี 4 สี (C M Y K) หมึกแต่ละสีจะถูกพิมพ์โดยมีองศาต่างกัน เช่น สีดำพิมพ์ในแนว 90 องศา สีฟ้าพิมพ์ในแนว 15 องศา ตัวอย่างของงานพิมพ์ที่คุณพบเห็นได้ทุกวันก็คือหนังสือพิมพ์ นิตยสาร โบรชัวร์ ฯลฯ ถ้าหากคุณมีแว่นขยาย ก็ลองเอาไปส่องดูที่หน้าหนังสือ จะเห็นว่ามีจุดเล็กๆ ของเม็ดสีมากมายเต็มไปหมด


Digital Halftone
Digital Halftone หรือเรียกอีกอย่างว่า Continuous Tone หรือ Contone วิธีการนี้พิกเซลของภาพถ่ายจะถูกส่งตรงไปที่ เครื่องพรินเตอร์โดยตรง โดยพิกเซลจะถูกพิมพ์ลงไปในบล็อก (นึกถึงกระดาษพล็อตกราฟที่แบ่งเป็นบล็อกสี่เหลี่ยม แต่ละบล็อกก็จะมี ช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ อยู่ข้างใน) บล็อกนี้จะถูกเรียกว่า Line จำนวน Line ที่มีอยู่ต่อนิ้วจะขึ้นอยู่กับความละเอียดของพรินเตอร์
ระบบ Digital Halftone จะพิมพ์พิกเซลซ้อนทับกัน ไม่มีช่องว่างระหว่างพิกเซลเหมือนกับการพิมพ์แบบ Halftone Screen ด้วยวิธีการนี้ทำให้ภาพถ่ายที่พิมพ์ด้วยระบบนี้มีน้ำหนักของโทนสีมีความกลมกลืน ทำให้ได้ภาพที่มีความสวยงาม เหมือนจริง เครื่อง พรินเตอร์ที่ใช้ระบบพิมพ์แบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มพรินเตอร์พิมพ์ภาพถ่ายขนาดเล็ก หรือพรินเตอร์แบบ Dye-Sublimation

Alternative Screening (Dithering)
รูปแบบการพิมพ์ที่พรินเตอร์อิงค์เจ็ตและเลเซอร์พิมพ์ภาพถ่ายชั้นนำใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่จะใช้เทคนิคการสร้างชั้นของโทนสีแบบใหม่ เรียกว่า frequency modulated (FM) ในขณะที่ Halfttone Screening จะใช้แบบ amplitude-modulated (AM) ความแตกต่างของทั้งสองแบบก็คือ AM จะมีรูปแบบของจุด มีขนาดของจุด มีข่องว่างและการเรียงตัวของจุดเป็นรูปแบบที่แน่นอน ในขณะที่แบบ FM จะมีการสร้างจุดที่มีขนาดเล็กมาก มีช่องว่างระหว่างจุดน้อยมาก และยังมีรูปทรงของจุดที่หลากหลาย ทำให้ได้ โทนสีที่มีความกลมกลืน พิมพ์ภาพถ่ายได้สวยงามสมจริง และจะยิ่งสมจริงมากขึ้นหากจุดสีมีขนาดเล็กลง
อย่างไรก็ตามพรินเตอร์แต่ละยี่ห้อก็มีเทคนิคมีรายละเอียดปลีกย่อยของตัวเอง มีชื่อเรียกต่างกันออกไป อย่างพรินเตอร์ HP ก็เรียกว่า PhotoREt Color Layering Technology พรินเตอร์ Epson ก็มี AcuPhoto Halftoning พรินเตอร์ Canon ก็มี Precision Color Distribution Technology แต่ถึงแม้จะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปอย่างไร โดยพื้นฐานก็ยังคงเป็น Alternative Screening นั่นเอง

ความละเอียด บ่งบอกจำนวนพิกเซล


ความละเอียด บ่งบอกจำนวนพิกเซล

เมื่อพูดถึงความละเอียด มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง ทั้งความละเอียดของกล้อง สแกนเนอร์ พรินเตอร์ มอนิเตอร์ และไฟล์ภาพ แต่สำหรับการพิมพ์ภาพถ่าย ความละเอียดที่เกี่ยวข้องจะมีอยู่สองสิ่งด้วยกันคือ ความละเอียดของไฟล์ภาพ กับความละเอียดของ พรินเตอร์

ความละเอียดของไฟล์ภาพหรือความละเอียดของภาพถ่าย คือจำนวนจุดพิกเซลที่มีอยู่ในภาพถ่าย เช่น ในพื้นที่ขนาดกว้าง 1 นิ้ว ถ้าหากคุณนับจำนวนพิกเซลได้ 100 พิกเซล ความละเอียดนั้นก็จะเรียกว่า 100 PPI (pixel per inch) คือมีจำนวนพิกเซล 100 พิกเซลใน 1 นิ้วนั่นเอง ในทางเทคนิคแล้วความละเอียดที่เป็นพิกเซลต่อนิ้วจะหมายถึง ภาพถ่าย มอนิเตอร์ และสแกนเนอร์

ความละเอียดของพรินเตอร์จะถูกเรียกว่า DPI (dot per inch) นั่นก็เพราะว่าพรินเตอร์พิมพ์ภาพถ่ายออกมาโดยการแปลงพิกเซล ออกมาเป็นจุดเล็กๆ ลงบนกระดาษ ซึ่งจุดจะมีขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกัน มีลักษณะการเรียงตัวที่แตกต่างไปจากพิกเซลที่เห็นในไฟล์ ภาพที่เปิดดูในเครื่องคอมพิวเตอร์

ความละเอียดที่มีในภาพถ่ายจะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของภาพถ่าย ภาพถ่ายที่มีความละเอียด 300 พิกเซลต่อนิ้ว ย่อมแตกต่างจาก ภาพที่มีความละเอียดเพียง 100 พิกเซลต่อนิ้ว อย่างไรก็ตามความละเอียดที่มีมากไปก้ใช่ว่าจะเป็นผลดีเสมอไป เพราะนั่นหมายถึง ขนาดไฟล์ที่ใหญ่ขึ้น คอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการแก้ไขไฟล์ก็ต้องมีสเป็คสูงขึ้นตาม และอาจทำให้พรินเตอร์แฮงค์พิมพ์ภาพไม่ออกได้ ความละเอียดของไฟล์ภาพจึงต้องดูความเหมาะสมว่ามีเพียงพอต่อคุณภาพในการพิมพ์ แต่ก็ต้องไม่มากเกินความจำเป็น

ในด้านการใช้งานแล้วไม่มีความละเอียดมาตรฐานตายตัวว่าต้องใช้ไฟล์ภาพความละเอียดเท่าไหร่ เนื่องจากเครื่องพรินเตอร์แต่ละรุ่น แต่ละยี้ห้อต่างก็มีความละเอียดในการพิมพ์ มีเทคโนโลยีในการพิมพ์แตกต่างกัน อย่างเครื่องพิมพ์ระบบออฟเซ็ทที่ใช้ในการพิมพ์พวก นิตยสารหรือสิ่งพิมพ์ต่างๆ จะใช้ภาพที่มีความละเอียด 225 -300 พิกเซลต่อนิ้ว

ความละเอียดภาพที่เหมาะสมสำหรับพรินเตอร์อิงค์เจ็ต
เครื่องพรินเตอร์อิงค์เจ็ตใช้ความละเอียดของภาพถ่ายที่แตกต่างกันออกไป อย่างพรินเตอร์ Epson มีความละเอียดในการพิมพ์ตั้งแต่ 720, 1440, 2880 และ 5760 จุดต่อนิ้ว ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้ภาพถ่ายที่มีความละเอียดที่ 240 พิกเซลต่อนิ้ว ถึงแม้บางคนจะใช้สูตร คำนวณโดยใช้ความละเอียดภาพที่อัตราส่วน 1/3 ของความละเอียดเครื่องพรินเตอร์ ซึ่งถ้าใช้สูตรนี้พรินเตอร์ที่มีความละเอียดถึง 5760 จุดต่อนิ้ว ต้องใช้ภาพที่มีความละเอียด 1920 พิกเซลต่อนิ้ว ซึ่งนั่นเป็นนรกชัดๆ สำหรับการทำงานกับไฟล์ความละเอียดสูง เพราะคอมพิวเตอร์บางเครื่องแค่ทำงานกับไฟล์ขนาด 17x11 นิ้ว ความละเอียด 300 พิกเซลต่อนิ้ว แค่ลุ้นให้เปิดไฟล์ขึ้นมาได้ก็หนัก แล้ว ยังไม่ต้องถึงกับรีทัชหรือปรับแต่งภาพ

พรินเตอร์ HP และ Canon ต้องการภาพถ่ายที่มีความละเอียด 150 - 300 พิกเซลต่อนิ้ว เพื่อให้ง่ายต่อการเตรียมต้นฉบับภาพถ่าย สำหรับการพิมพ์ คุณสามารถเตรียมไฟล์ความละเอียดได้ดังนี้
พรินเตอร์ Canon 200 - 300 พิกเซลต่อนิ้ว
พรินเตอร์ Epson 300 - 360 พิกเซลต่อนิ้ว
พรินเตอร์ HP 150 - 200 -300 พิกเซลต่อนิ้ว

ความละเอียดของไฟล์ภาพที่ 240 - 360 พิกเซลต่อนิ้ว ถือว่าเป็นความละเอียดที่ค่อนข้างมาตรฐานในการใช้งาน คุณสามารถนำไป พิมพ์กับเครื่องพิมพ์ทั้งระบบออฟเซ็ต เลเซอร์ หรือตามแล็บสีได้โดยไม่มีปัญหา หรือถ้าหากคุณไม่แน่ใจจะใช้ค่าไหนดี ก็เลือกไปที่ 300 พิกเซลต่อนิ้ว ส่วนการเตรียมไฟล์ให้มีความละเอียดที่ต้องการก็ทำได้จากตัวกล้องดิจิตอล สแกนเนอร์ หรือโปรแกรมจัดการ ภาพถ่าย เช่น Photoshop, Lightroom, Apeture, CaptureNX, DPP ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้มีเครื่องมือสำหรับการเตรียม ขนาดภาพ และความละเอียดภาพไว้ให้ครบครัน ซึ่งจะอธิบายไว้ในส่วนของ Digital Process

จุดสี่เหลี่ยมกับเฉดสี


จุดสี่เหลี่ยมกับเฉดสี

พิกเซลเป็นส่วนประกอบเล็กๆ ของภาพบิตแมพ จริงอยู่ที่เมื่อซูมเข้าไปจะเห็นว่าภาพมีจุดสี่เหลี่ยมเล็กๆ ประกอบกันมากมาย ทว่าใน โลกของคอมพิวเตอร์แล้วพิกเซลเหล่านี้ไม่มีรูปทรง ไม่มีรูปร่าง เป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่เก็บข้อมูลบางอย่างเอาไว้ ที่อยู่ในรูปแบบของ binary หรือ bits ซึ่งก็คือตัวเลข 0 ที่แทนที่ข้อมูลอะไรบางอย่าง และ 1 ที่เป็นความว่างเปล่าหรือไม่มีข้อมูลใดๆ อยู่ ถ้าเป็นสวิทช์ ไฟก็เหมือนกับเปิด/ปิด หรือถ้าเป็นสีก็มีขาวกับดำ

บิตเป็นหน่วยเล็กๆ ของข้อมูลดิจิตอล ที่เมื่อรวมตัวกันแล้วมีความหมายมากมาย โดยเฉพาะกับภาพแบบบิตแมต และคุณเองจะได้ยิน ศัพท์เฉพาะมากมายที่ทำให้มึนงงได้ง่ายๆ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่าบิตมีความเกี่ยวข้องกับภาพบิตแมพหรือภาพถ่ายอย่างไร ก็เริ่ม จากภาพที่มีเพียง 1 บิต ใน 1 บิต มีเพียง 0 กับ 1 ภาพที่ได้ก็จะมีเพียงสีขาวกับดำ เพราะจำนวนบิตที่ใช้เก็บข้อมูลเก็บได้แค่ขาวกับดำ หรือ 2 ระดับ

แล้วถ้าจำนวนบิตเพิ่มขึ้นเป็น 2 บิต จำนวนสีก็จะเพิ่มเป็น 4 ระดับหรือ 4 เฉด เพราะจากเดิมที่มีแค่ 0 กับ 1 เมื่อเป็น 2 บิตก็จะกลาย เป็น 00, 01, 10 และ 11 ซึ่งทำให้เก็บข้อมูลหรือแทนข้อมูลได้มากขึ้น จากภาพที่เป็นขาวกับดำ ก็จะเพิ่มเฉดสีเทามาอีกสองสี และถ้า จำนวนบิตเพิ่มเป็น 3 บิต ก็จะมีเฉดสีเป็น 8 ระดับ ถ้าจำนวนบิตเป็น 4 บิต ก็จะมีเฉดสีเป็น 16 ระดับ และถ้าจำนวนบิตเพิ่มเป็น 8 บิต ก็จะมีเฉดสีมากถึง 256 ระดับ หรือ 256 เฉดสี

ในทางคณิตศาตร์จำนวนบิตก็คือ 2 ยกกำลัง 2 เช่น 4 บิต หากเขียนเป็นเลขยกกำลังก็คือ 2 ยกกำลัง 4 (2x2x2x2 = 16) ภาพถ่ายที่ จะนำมาพิมพ์จะต้องมีจำนวนบิตอย่างน้อย 8 บิต เนื่องจากภาพ 8 บิตจะมีเฉดสีที่มีความสมจริง หรือเมื่อพิมพ์ออกมาก็จะทำให้เกิด โทนสีที่ดูต่อเนื่องกลมกลืนกัน

16.7 ล้านสีมาได้อย่างไร?
คุณได้เห็นจำนวนบิตกับภาพขาวดำไปแล้ว ในส่วนของภาพสีจำนวนบิตก็เกี่ยวข้องกับเฉดสีเหมือนกับภาพขาวดำ แต่สิ่งที่ภาพสีต่าง ออกไปก็คือ ภาพสีมี channel ซึ่งทำหน้าที่เก็บข้อมูลแม่สีของภาพแยกออกจากกัน ถ้าคุณเปิดภาพถ่ายในโปรแกรม Photoshop แล้วคลิกเมนู Window - Channel จะเห็นภาพถ่ายสีมีแชนเนลอยู่สามแชนเนลด้วยกันคือ R G และ B ซึ่งก็คือแม่สี Red, Green และ Blue นั่นเอง ถ้าเป็นภาพที่มีจำนวนบิต 8 บิต เช่น ภาพถ่ายที่เป็นฟอร์แมต JPG หรือไฟล์ RAW ที่มาแปลงเป็นไฟล์ JPG ก็จะเป็นภาพที่มี 8 บิตเช่นกัน นั่นก็จะทำให้แต่ละแชนเนลมีจำนวนเฉดสี 256 ระดับ คือแดง 256 เขียว 256 และน้ำเงิน 256 เมื่อนำ 256x256x256 ก็จะได้ 16.7 ล้านเฉดสี

ภาพสีแบบ RGB ที่แต่ละแชนเนลมีจำนวนบิต 8 บิต จะเรียกว่าภาพสี 24 บิต เพราะแต่ละแชนเนลสีมี 8 บิต ที่รวมกันได้ 24 บิต ส่วนภาพที่เป็นสีแบบ CMYK ซึ่งเป็นภาพที่มี 32 บิต จะยกไปอธิบายในเรื่องของโหมดสี ในเบื้องต้นให้คุณเข้าใจว่าจำนวนบิต ยิ่งมากก็ยิ่งทำให้ภาพถ่ายมีความสวยงามจากเฉดสีที่มากขึ้น จะเห็นได้จากเทคโนโลยีของกล้องดิจิตอล พรินเตอร์ ในปัจจุบันมีความ สามารถในการทำงานกับจำนวนบิตได้สูงถึง 16 บิต

จุดสี่เหลี่ยมเรียงกันเป็นภาพถ่าย

ภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอล เป็นภาพที่เรียกว่าภาพแบบ binary นอกเหนือกจากภาพที่ถ่ายด้วยกล้องดิจิตอลแล้ว ภาพกราฟิกที่สร้างขึ้น ด้วยโปรแกรมจากเครื่องคอมพิวเตอร์บางโปรแกรม ภาพวาดบนกระดาษที่ผ่านการสแกนด้วยเครื่องสแกนเนอร์ ก็เป็นภาพแบบไบนารี ด้วยเช่นกัน ภาพแบบไบนารีนี้ยังถูกเรียกว่าภาพแบบ raster ภาพ bitmaps และภาพ pixel-base-images โดยทั้งหมดก็เป็น ภาพชนิดเดียวกัน แม้จะมีหลากหลายชื่อให้เรียกก็ตาม แต่ส่วนใหญ่ชื่อที่เรียกจะนิยมเรียกบิตแมพมากกว่า

ภาพแบบไบนารีนั้นจะเกิดจากจุดสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่เรียกว่า pixel เรียงกันเป็นแถว แต่ละพิกเซลจะมีสี มีความเข้มแตกต่างกันไป ยิ่งมีจำนวนพิกเซลมาก รายละเอียดหรือข้อมูลทั้งในด้านขนาด โทนสี ความคมชัดของภาพ และขนาดของไฟล์ภาพ จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ตามไปด้วย โดยปกติแล้วขนาดของจุดสี่เหลี่ยมหรือพิกเซลนั้นมีขนาดเล็กมากๆ จนสายตาคนมองไม่ออกว่าภาพนั้นเกิดจากจุดสี่เหลี่ยม จำนวนมากเรียงต่อกัน แต่ถ้าคุณเปิดภาพถ่ายขึ้นมาด้วยโปรแกรม Photoshop, ACDSee, Lightroom หรือโปรแกรมแต่งภาพ อื่นๆ แล้วใช้เครื่องมือ Zoom คลิกเข้าไปเหมือนกับหมอดูใช้แว่นขยายส่องดูลายมือ ยิ่งซูมเข้าไปมากก็จะเห็นว่าภาพถ่ายนั้นเต็มไป ด้วยจุดสี่เหลี่ยมเล็กๆ จำนวนมาก

การพิมพ์ระบบดิจิตอล พิมพ์ภาพถ่ายแค่ปลายนิ้วคลิ๊ก


การพิมพ์ระบบดิจิตอล พิมพ์ภาพถ่ายแค่ปลายนิ้วคลิ๊ก

การถือกำเนิดของเครื่องคอมพิวเตอร์ถือเป็นจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีดิจิตอลต่างๆ มากมายในปัจจุบัน และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ด้านเทคโนโลยีการพิมพ์ตามมา แต่กว่าที่ระบบการพิมพ์จะก้าวหน้ามาเป็นระบบดิจิตอลสมบูรณ์แบบ จนสามารถย่อขนาดลงมาเป็น ระบบการพิมพ์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานได้อย่างที่เห็น เส้นทางของเทคโนยีนั้นก็มีจุดเริ่มต้นมาอย่างยาวนาน

ปี 1959
CalComp เปิดตัวเครื่องพลอตเตอร์ระบบดิจิตอล ที่สามารถพิมพ์ภาพจากคอมพิวเตอร์ได้ ต่อมาในปี 1965 ภาพที่พิมพ์ด้วยระบบ ดิจิตอลก็เริ่มถูกนำมาแสดงในแกลเลอรี่

ปี 1976
IBM แนะนำ IBM 6640 ระบบพิมพ์แบบพ่นหมึก ซึ่งเป็นเครื่องพรินเตอร์ระบบอิงค์เจ็ตเครื่องแรกของโลก

ปี 1977
Applicon เปิดตัวเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ตสี เครื่องแรก
Siemens เปิดตัวเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ต ที่ใช้หัวพิมพ์แบบ piezoelectric

ปี 1981
IBM เปิดตัวเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีเครื่องแรก
Canon เปิดตัวเครื่องพรินเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยีแบบ Bubble Jet

ปี 1984
Apple ให้กำเนิดเครื่องคอมพิวเตอร์ Macintosh
HP เปิดตัวเครื่องพรินเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยี Thermal Inkjet

ปี 1990
Adobe Systems เปิดตัวโปรแกรมแต่งภาพ Photoshop เวอร์ชั่น 1.0 สำหรับใช้กับคอมพิวเตอร์ โดยผู้พัฒนาคือ John Knoll และ Thomas Knoll

ปี 1994
Epson เปิดตัวพรินเตอร์อิงค์เจ็ตในตระกูล Stylus Color ซึ่งเป็นพรินเตอร์เครื่องแรกที่สามารถพิมพ์ภาถ่ายได้เหมือนจริง

ปี 2002
Epson เปิดตัวพรินเตอร์ใช้หมึกแบบ pigment 7 สี (Stylus Photo 2100/2200) และพรินเตอร์ที่มีหยดหมึกขนาดเล็ก 2 พิโคลิตร (Sylus Photo 960)

ปี 2003
HP เปิดตัวพรินเตอร์ HP Photosmart 7960 ที่ใช้หมึก 8 สี โดยมีสีดำถึง 3 สี

ปี 2004
Epson เปิดตัวพรินเตอร์ Stylus Photo R800 ที่มีหยดหมึกเล็ก 1.5 พิโคลิตร มีหมึกสีแดงและน้ำเงินเพิ่มขึ้นมา พร้อมกับหมึก แบบ Hi-Gross

Canon เปิดตัวพรินเตอร์รุ่น i9990 ที่ใช้หมึก 8 สี ที่มีสีแดงและเขียวเป็นสีที่เพิ่มเข้ามา

ระบบการพิมพ์แบบดิจิตอล หรือจะเรียกให้เข้าใจกันง่ายๆ ก็คือพรินเตอร์ ช่วยให้ช่างภาพ กลุ่มศิลปิน กลุ่มนักออกแบบ สามารถพิมพ์ ภาพถ่ายได้ง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากกับการเตรียมอุปกรณ์เคมี หมึก เพลท แสง ให้ยุ่งยากเหมือนกับระบบอนาล็อก ในขณะที่ระบบ ดิจิตอลสามารถจัดการผ่านทางเครื่องคอมพิวเตอร์ และคุณสามารถเป็นเจ้าของเครื่องพรินเตอร์ได้โดยไม่ยากนัก สำหรับพรินเตอร์ ขนาดเล็ก หรืออาจจะเลือกส่งภาพไปพิมพ์กับร้านที่ให้บริการพิมพ์ภาพถ่ายโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีดิจิตอลก็ไม่ได้ง่าย หากต้องการคุณภาพในการพิมพ์จริงๆ มีรายละเอียดมากมายที่จำเป็นต้องรู้

คาริเบรตจอคอมพิวเตอร์ เพื่อการทำงานกับภาพถ่าย

การ Calibrate ก็คือการปรับการแสดงผลของจอคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมกับลักษณะของการใช้งาน ซึ่งทำได้โดยใช้ซอฟต์แวร์ สำหรับคาริเบรตเฉพาะ เช่น Adobe Gamma มาพร้อมโปรแกรม Photoshop (เวอร์ชั่นใหม่ๆ ได้ตัดฟังก์ชั่นนี้ออกไป เนื่องจากไม่เหมาะกับการใช้กับจอ LCD) โปรแกรม QuickGamma ส่วนคนที่ใช้เครื่อง Macintosh ก็มียูทิลิตี ColorSync รวมอยู่ในตัว Mac OS อยู่แล้ว

ข้อเสียของการใช้ซอฟต์แวร์คาริเบรตก็อยู่ที่ความแม่นยำ เนื่องจากต้องใช้การปรับค่าโดยตัวผู้ใช้เอง หากต้องการความแม่นยำในการ ปรับค่าการแสดงผล ก็มีเครื่องมือ Colorimeter สำหรับวัดการแสดงสีของจอคอมพิวเตอร์ แล้วสร้างเป็นโปรไฟล์เพื่อใช้ร่วมกับ โปรแกรม Photoshop, Lightroom, Apeture หรือโปรแกรมตกแต่งภาพที่รองรับระบบการจัดการสี เครื่องมือคาริเบรตมีอยู่ หลายยี่ห้อด้วยกัน เช่น ColorVision Spyder, GretagMacbeth Eye-one, Monaco Optix XR, ColorEyes Display และ colormunki คุณสามารถซื้อมาใช้คาริเบรตจอได้ ราคาของเครื่องมือเหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับรุ่นและลักษณะการใช้งาน หากเป็นรุ่นที่ใช้วัดค่าสีของเครื่องพรินเตอร์ได้ด้วยก็จะยิ่งแพงขึ้น

เหตุผลที่คุณต้องคาริเบรตจอคอมพิวเตอร์
- จอคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้คาริเบรต จะทำให้การแสดงความสว่าง แสดงโทนสี ไม่ถูกต้อง ทำให้คุณบอกไม่ได้ด้วยว่าภาพนั้นมีความ สว่างหรือวัดแสงมาถูกต้องหรือไม่ และเมื่อพิมพ์ออกมา ก็ได้ภาพที่มีสี มีความสว่างที่แตกต่างไปจากภาพที่เห็นบนหน้าจออย่างมาก

- จอคอมพิวเตอร์ถูกตั้งค่าการแสดงผลมาจากโรงงาน เป็นค่าที่ไม่เหมาะในการใช้เพื่อทำงานเกี่ยวกับภาพถ่าย หรืองานกราฟิก เพราะค่าที่ตั้งมาอาจสว่างเกินไป มืดเกินไป อุณหภูมิสี คอนทราสต์ของจอไม่ถูกต้อง เมื่อนำภาพถ่ายไปพิมพ์ก็จะได้ภาพที่มีสีสันต่าง จากภาพที่เห็นบนหน้าจออย่างมาก

ขั้นตอนการคาริเบรต
ทั้งการใช้ซอฟต์แวร์และเครื่องมือคาริเบรต ต่างก็มีขั้นตอน มีหลักการเหมือนกัน เพียงแต่การใช้เครื่องคาริเบรตจะให้ความสะดวก ความแม่นยำมากกว่า มีขั้นตอนแนะนำอย่างละเอียดอยู่ในคู่มือ ก่อนที่จะลงมือคาริเบรตควรเปิดจอทิ้งเอาไว้ก่อนสักครึ่งชั่วโมง เป็นอย่างน้อย แล้วค่อยลงมือคาริเบรต โดยขั้นตอนการคาริเบรตก็มีดังนี้

1. จำนวนบิตสี
ดูให้แน่ใจว่าตั้งค่าการแสดงสีของจอเป็นบิตสีสูงสุด โดยจำนวนบิตสีที่แสดงได้นั้นจะขึ้นอยู่กับการ์ดจอและไดรเวอร์ขอ การ์ดจอด้วย สำหรับเครื่องพีซีก็ตรวจสอบโดย คลิกขวาที่พื้นที่ว่างๆ บนหน้าจอ คลิก Properties - Setting ตรง Color quality ส่วนเครื่อง แมคเลือกได้จาก Preferences - Display - Color เลือกเป็น 24 หรือ 32 bit จำนวนบิตสีที่ 16 บิตหรือน้อยกว่าจะน้อยเกินไป ไม่สามารถใช้ในการคาริเบรตได้

2. อุณหภูมิสี
อุณหภูมิสีของจอ (White Point หรือ Color Temperature) จอคอมพิวเตอร์หลายรุ่นมีปุ่มหรือเมนูให้เลือกปรับอุณหภูมิสี เช่น 9300K จะทำให้การแสดงสีของจอออกมาเป็นสีน้ำเงิน ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้กับงาน CAD หรือเล่นเกมส์ อุณหภูมิสีที่ 5000K ก็จะใช้ในแกลเลอรี่ สำหรับการทำงานกับภาพถ่ายนั้นให้เลือกอุณหภูมิสี ไปที่ 6500K (หรือ D65)


3. ค่า gamma
ค่าแกมม่าสำหรับเครื่องแมคจะใช้ที่ 1.8 (ตั้งค่าได้จาก ColorSync) ส่วนเครื่องพีซีจะใช้ที่ 2.2 ในเครื่องพีซีสามารถตั้งค่า แกมม่า ได้จากไดรเวอร์ของการ์ดจอ แต่ถ้าไดรเวอร์การ์ดจอไม่มีให้ปรับ คุณสามารถดาวน์โหลดโปรแกรม QuickGamma มาติดตั้ง แล้วปรับค่าแกมม่าเป็น 2.2 ได้

4. สภาพแวดล้อมโดยรอบ
สภาพแวดล้อมที่คอมพิวเตอร์ตั้งอยู่มีผลต่อการมองเห็น และยังทำให้การคาริเบรตจอผิดพลาดได้ ผนังห้องควรเป็นสีเทา ไม่ควรมี แสงภายนอกหรือแสงจากหลอดไฟในห้อง สะท้อนหรือส่องบนหน้าจอ

5. ปรับระดับความสว่างของจอคอมพิวเตอร์ เพื่อการแสดงผลภาพถ่ายที่ถูกต้อง
การแสดงผลภาพถ่ายให้ถูกต้องนั้นสำคัญมากๆ เมื่อคุณทำงานกับภาพถ่าย จอคอมพิวเตอร์ต้องแสดงระดับความสว่าง แสดงระดับ เฉดสีได้ครบหรือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของจอเป็นส่วนสำคัญด้วย เนื่องจากจอหลายรุ่นใช้เทคโนโลยี การแสดงผลที่เน้นราคาถูก เหมาะสำหรับคนที่ใช้งานทั่วไป เช่น พิมพ์งาน เล่นเน็ต ซึ่งจะมีข้อจำกัดเรื่องการแสดงสีและระดับ ความสว่าง

เพื่อที่จะดูว่าจอคอมพิวเตอร์ของคุณไม่สว่างเกินไป หรือมืดเกินไป ให้ดูจากแถบวัดด้านบน มีช่อง A - Z ด้านซ้ายสุดช่อง A จะเป็น ช่องสีดำสนิท (Pure Black) ถัดจากนั้นก็จะเป็นสีเทาเข้ม ซึ่งดูใกล้เคียงกับสีดำมาก ถัดมาก็จะเป็นสีเทาอ่อนไล่มาจนถึงทางขวาสุด คือช่อง Z ก็จะเป็นสีขาวจั๊ว (Pure White)

สิ่งที่คุณต้องทำคือปรับการแสดงผลของจอคอมพิวเตอร์ ให้แสดงผลแถบวัดได้ครบทุกช่อง หรือใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะทำได้ วิธีการ ก็คือปรับคอนทราสต์ (Contrast) ของจอขึ้นไปถึงค่า 100 จากนั้นก็ปรับความสว่าง (Brightness) เพิ่มขึ้นหรือลดลง จนเห็นช่อง สีได้ครบทุกช่องหรือเกือบครบ (จอบางรุ่นอาจปรับให้แสดงผลได้ไม่ครบทุกช่อง) ส่วนการปรับคอนทราสต์และความสว่างของจอ ก็ปรับได้จากปุ่มที่อยู่บนหน้าจอ หรือจอบางรุ่นก็ต้องกดเข้าเมนูของหน้าจอก่อน

เมื่อคาริเบรตเสร็จแล้วได้อะไร
การคาริเบรตนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบจัดการสี (Color Management System) ซึ่งมีอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกันทั้ง อุปกรณ์ ที่ใช้ในการสร้างภาพ แสดงภาพ และพิมพ์ภาพ เมื่อคุณคาริเบรตจอคอมพิวเตอร์แล้ว ไม่ว่าจะใช้ซอฟต์แวร์ฟรีหรือซื้อเครื่องคาริเบรต มาใช้ ก็จะทำให้ค่าความสว่าง ค่าสีของจอที่แสดงออกมา สอดคล้องกับเครื่องพิมพ์ เมื่อคาริเบรตเสร็จแล้ว คุณอาจรู้สึกว่าแสงหน้าจอ ออกมาเป็นสีส้มหรือเหลืองนิดๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติเมื่อใช้อุณหภูมิสีที่ 6500K เมื่อใช้งานไปสักระยะคุณจะคุ้นเคยไปเอง

Contrast ความแตกต่างของแสง เงา และสีสัน


Contrast ความแตกต่างของแสง เงา และสีสัน

แสงไม่เพียงจะทำให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ เท่านั้น แสงยังทำให้รูปร่าง สีสัน ลวดลาย ของสิ่งต่างๆ ดูแตกต่างไปจากเดิมได้ ทั้งๆ ที่เป็นของสิ่งเดิม ขนาดเดิม รูปร่างเดิม สีเดิม แต่แสงสามารถทำให้คุณมองเห็นของสิ่งเดิมแตกต่างกันออกไป ส่วนหนึ่งนั้นเกิดจาก การที่ระดับความสว่างของแสงที่ส่องลงบนพื้นผิวของสิ่งต่างๆ นั้น มีระดับความสว่างที่ไม่เท่ากัน บางจุดได้รับแสงที่สว่างมาก บางจุดแทบไม่โดนแสงเลย ความแตกต่างกันที่เกิดขึ้นนั้นเรียกว่าคอนทราสต์ แต่ความหมายของคำว่าคอนทราสต์ในภาพถ่ายนั้น มีหลายลักษณะด้วยกัน

ภาพขาวดำ ภาพโมโนโทน
คอนทราสต์ในภาพขาวดำ หรือภาพโมโนโทนนั้น หมายถึงความแตกต่างระหว่างส่วนที่สว่างกับส่วนมืด เพราะภาพขาวดำหรือ ภาพโมโนโทน จะมีเพียงโทนสีดำกับขาว ความสว่างที่แตกต่างกันจะทำให้เกิดโทนสีอ่อนและเข้ม หรือจะเรียกว่าเป็นโทนสีเทา

ภาพสี
คอนทราสต์กับภาพสีจะเกี่ยวกับสีสันที่โดดเด่นขึ้นมา อย่างที่หลายๆ คนเรียกว่าภาพสีสด หรือสีแปร๋นแสบทรวง และยังหมายถึง การที่ในภาพถ่ายมีสีที่ตัดกัน เช่น คนใส่เสื้อสีขาวแล้วมีฉากหลังเป็นสีน้ำเงินเข้ม หรือภาพดอกไม้สีแดงกับฉากหลังสีเขียวเข้ม ทำให้เกิดสีที่ขัดแย้งแตกต่าง หรือถ้าจะเป็นเรื่องขมขื่นก็คือกลุ่มเสื้อเหลือง เสื้อแดง ที่ความคิดขัดแย้งกันอย่างชัดเจน ทั้งๆ ที่ต่างก็ เสียภาษีเพื่อมาพัฒนาประเทศด้วยกัน ถนนหนทาง โครงการต่างๆ ที่ไม่ว่าจะสร้างโดยรัฐบาลไหนก็ล้วนมาจากเงินภาษีที่เราเสียไป ไม่ใช่เงินจากนักการเมือง ไม่ใช่เงินจากพรรคการเมือง สมควรแล้วหรือที่จะมาสนับสนุนนักการเมืองที่รับเงินเดือนจากภาษี แต่แทนที่จะมุ่งมั่นกับการทำงานให้ประเทศมีความเจริญก้าวหน้า แต่กลับมีนักการเมืองส่วนหนึ่งที่ชอบการประท้วงเป็นงานหลัก จนประเทศมีแต่ความวุ่นวายไม่รู้จบ

แสงกับคอนทราสต์
เป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยและง่ายที่สุด คอนทราสต์ที่เกิดจากแสงก็คือ บริเวณที่มีความสว่างจากการได้รับแสง กับบริเวณที่ได้รับแสง น้อยหรือไม่ได้รับแสงจนกลายเป็นส่วนมืด

บรรยากาศกับคอนทราสต์
สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องคอนทราสต์มากเพียงพอ เวลาไปเที่ยวหรือเเวลาที่มองออกไปนอกบ้าน วันไหนที่ฟ้าโปร่งใส คุณจะ มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจน ยิ่งวันไหนฟ้าใสจนท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงิน เวลาไปเที่ยวทะเลจะเห็นหาดทรายขาว เห็นน้ำทะเลที่ดูใส ตรงกันข้ามถ้าวันไหนท้องฟ้าขมุกขมัว มีเมฆ มีฝน การมองเห็นก็ไม่ค่อยชัด แล้วสิ่งรอบๆ ก็ดูหม่นหมองตามไปด้วย

คอนทราสต์นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็น และยังส่งผลต่อความรู้สึกที่มีจากการมองเห็น คุณสามารถใช้ภาพที่มี คอนทราสต์สูงเพื่อสร้างความรู้สึกที่มีพลัง ในขณะที่ภาพที่มีคอนทราสต์ต่ำจะให้ความรู้สึกที่เงียบสงบ

Direction of Light ทิศทางของแสง


Direction of Light ทิศทางของแสง

ถ้าคุณอ่านตั้งแต่ intro เรื่อยมาจนถึงเรื่อง softlight คุณจะได้เห็นบทบาทของแสงที่มีต่อภาพถ่ายมากมาย แต่นั่นก็ยังไม่หมด เพราะ แสงยังมีส่วนสำคัญต่อรูปร่างของสิ่งต่างๆ ทำให้รูปร่างของสิ่งต่างๆ ดูแตกต่างออกไปจากเดิม ทำให้ลวดลายบนพื้นผิวต่างๆ ดูชัด หรือทำให้ลวดลายบนผิวหายไป โดยส่วนที่ทำให้รูปร่างหรือลวดลายของสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไป ก็ขึ้นอยู่กับทิศทางของแสง

ในแต่ละวันคุณจะเห็นดวงอาทิตย์เคลื่อนที่จากระดับพื้นดิน ลอยสูงขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วก็ต่ำลงระดับพื้นดินอีก ถ้าคุณมีเวลาว่างมากพอ ก็ลองดูว่าแสงจากดวงอาทิตย์ในมุม ในทิศทางที่ต่างกัน ทำให้คุณมองเห็นสิ่งของต่างออกไปอย่างไร เงาที่เกิดขึ้นเปลี่ยนไปอย่างไร

แบบฝึกหัดสำหรับมือใหม่
เพื่อลดเวลาในการเรียนรู้เรื่องทิศทางของแสงให้สั้นลง ลองหาตุ๊กตา หรือของอื่นๆ มาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็หาไฟฉายหรือโคมไฟ อ่านหนังสือก็ได้ ลองส่องไฟฉายจากทิศทางต่างกันคือ ซ้าย ขวา บน ล่าง หน้า หลัง แล้วดูว่าแสงที่ส่องมาแต่ละด้านทำให้ตุ๊กตามี รูปร่างอย่างไร มีเงาเกิดขึ้นอย่างไร จากนั้นลองภาคสนาม ลองดูว่าถ้าคุณจะถ่ายคน หรือสิ่งของต่างๆ โดยใช้แสงดวงอาทิตย์ คุณจะ ควบคุมให้แสงมาจากทางด้านซ้าย ด้านขวา ด้านหน้า หรือหลัง ได้อย่างไร

Soft Light แสงอ่อนๆ เย็นสบาย


Soft Light แสงอ่อนๆ เย็นสบาย

เป็นแสงที่ตรงกันข้ามกับ Hard Light เพราะมีสิ่งกีดขวางหรือกรองให้แสงอ่อนลง และสิ่งกีดขวางยังทำให้แสงกระจายกว้างขึ้น ในธรรมชาติมีสิ่งกีดขวาง หรือสิ่งที่ช่วยกรองแสงให้อ่อนลงคือ เมฆ ต้นไม้ ถ้าไปอยู่กลางทุ่งโล่งไม่มีเมฆลอยผ่านมา ไม่มีต้นไม้ให้ได้ ใช้ร่มเงาเลย ก็ต้องพึ่งพาหมวก ร่ม ผ้าผืนใหญ่ หรือสิ่งของที่พอจะนำมาใช้ได้แทน

แสงอ่อนในแง่ของความรู้สึกทางกายก็จะรู้สึกเย็นสบายกว่า ส่วนในด้านการมองเห็นหรือการถ่ายภาพนั้น แสงอ่อนจะทำให้เงาจางลง หรือแทบไม่มีเงาให้เห็นเลย สาเหตุที่ทำให้เงาของภาพดูจางลงหรือไม่มีเงาให้เห็นเลยก็เพราะว่า สิ่งของที่กีดขวางแสง กรองแสง ทำให้แสงกระจายกว้างมากขึ้น จนทำให้แสงโอบล้อมสิ่งต่างๆ ทุกทิศทุกทาง ซึ่งจะทำให้เงาจางลงหรือไม่มีเงานั่นเอง

แสงอ่อนนิยมใช้กับการถ่ายภาพพรอเทรทผู้หญิง หรือภาพเด็ก เนื่องจากให้ความรู้สึกที่ดูอ่อนหวาน ดูนุ่มนวล เนื่องจากสีสันของภาพ จะไม่ฉูดฉาดบาดตา ไม่มีเงาสีดำเด่นขึ้นมา และที่สำคัญคือ พวกสิว พวกริ้วรอยต่างๆ จะดูจางลงด้วย ภาพลักษณะนี้จึงให้ความรู้สึก ที่ดูนุ่มนวลกว่า ภาพที่ถ่ายในสภาพแสงแบบนี้จะมีความ คมชัดน้อยกว่า เนื่องจากการไล่โทนสีของภาพจะดูกลมกลืน ไม่มีเงา ไม่มีแสง ที่ตัดกันอย่างแรง ดังนั้นภาพที่ถ่ายในสภาพแสงนี้ถ้าไม่ มีการปรับ Sharpen ในตัวกล้องหรือโปรแกรมตกแต่งภาพ ภาพก็จะดูมี ความคมชัดน้อยกว่าภาพที่ถ่ายในแสงแรงๆ

เพื่อทำให้แสงอ่อนลง หรือเพื่อทำให้แสงกระจายกว้างกว่าเดิม ไฟสตูดิโอหรือแฟลชของกล้อง จึงมีอุปกรณ์เสริมที่ใช้เพื่อช่วยในการ กรองแสง กระจายแสง ให้เลือกใช้สารพัด เช่น Panel, Umbrellar, Grid, Softbox, Beauty Dish และถ้วยมาม่า ฮา... ส่วนรายละเอียดและการใช้งานก็รอติดตามอ่านกันต่อไป

คำแนะนำสำหรับมือใหม่
คุณควรเลือกถ่ายภาพในสภาพแสงอ่อน ถ้าถ่ายภาพโดยใช้แสงของดวงอาทิตย์เป็นหลัก ก็ลองเลือกช่วงเวลาที่แสงไม่แรงจัด หรือเลือก มุมที่เงาของตึก เงาของต้นไม้ช่วย หรือมีผ้าช่วยกรองแสง สภาพแสงอ่อนๆ จะช่วยให้การวัดแสง การถ่ายภาพง่ายขึ้น คนถ่ายภาพ และตัวแบบก็สบาย ไม่ร้อนอบอ้าว ถ่ายภาพวิวก็ได้ภาพที่ไม่เป็นเงาดำปี๋

Hard Light แสงแรง แสงจัด


Hard Light แสงแรง แสงจัด

แสงที่ออกจากแหล่งกำเนิดแสงโดยไม่มีสิ่งใดกีดขวางเลย แสงย่อมมีความสว่าง มีความแรงของแสงมาก อย่างแสงดวงอาทิตย์ในฤดู ร้อนที่ไม่เมฆมาบดบัง คุณจะรู้สึกได้ถึงพลังแสงที่ร้อนและสว่างจ้า จนต้องหาร่มกันแดด หาแว่นกันแดด ทาครีมกันแดดกันให้วุ่น แม้แต่หน้าต่างบ้าน หน้าต่างออฟฟิศ ยังต้องติดฟิล์มกรองแสง ติดผ้าม่าน เพื่อลดความร้อนแรงของแสง

แสงที่ปราศจากสิ่งกีดขวางทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจน ทำให้สีสันต่างๆ มีความเด่นชัด มีความสดใสมากยิ่งขึ้น และยังทำให้ เกิดเงาสีดำเข้ม เมื่อคุณถ่ายภาพในสภาพแสงเช่นนี้ ก็จะได้ภาพที่มีความคมชัดสูง มีสีสันสดใส มีแสงมีเงาตัดกันอย่างเด่นชัด ภาพ ลักษณะนี้จึงเรียกว่าที่มีคอนทราสต์สูง

ไม่เพียงเฉพาะแสงของดวงอาทิตย์เท่านั้นที่จะทำให้เกิดคอนทราสต์สูง แสงจากแฟลขของกล้อง หรือแสงจากไฟสตูดิโอ ก็ทำให้เกิด คอนทราสต์สูงได้เช่นกัน เห็นได้ภาพถ่ายที่เวลาใช้แฟลชจากกล้องตรงๆ ก็จะได้ภาพที่มีความคมชัดสูง แต่ก็จะมีเงาดำเกิดขึ้นด้วย

Quality of Light แสงสวยๆ กับการถ่ายภาพ


Quality of Light แสงสวยๆ กับการถ่ายภาพ

เป็นเรื่องแปลกอยู่อย่างหนึ่งสำหรับตัวผม เวลาไปถ่ายภาพทะเล ไม่ว่าจะไปฤดูไหนต้องเจอฝนตก แม้จะเป็นเดือนมีนาแดดร้อนๆ ไปถึง ทะเล อ้าว! ฝนตกซะงั้น แทนที่จะได้ภาพถ่ายทะเลที่มีฟ้าสีคราม น้ำสีน้ำเงิน กลับต้องเดินตากฝนทนดูทะเลสีหม่น นี่คือเรื่องที่ทุกคน ต้องเจอบ่อยๆ ในการถ่ายภาพ เมื่อต้องถ่ายภาพโดยใช้แสงธรรมชาติเป็นหลัก เพราะต้องเจอกับสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย มีเมฆ มีฝน ตั้งใจไปถ่ายภาพดวงอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า เมฆก็หนาทึบจนปิดบังดวงอาทิตย์หมด เมื่อเจอเหตุการณ์อย่างนี้เข้าก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากหาโอกาสใหม่ ที่ต้องมีโชคกับอากาศดี ฟ้าเปิด แสงเป็นใจ

ชีวิตของคนที่รักการถ่ายภาพต้องการแสงสำหรับการถ่ายภาพ แต่การมีแสงเพียงอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอ แสงที่มีต้องมีคุณภาพด้วย เพราะแสงมีส่วนสำคัญในการสร้างอารมณ์ให้กับภาพถ่าย อย่างเวลาไปเที่ยวทะเลก็อยากเจอวันฟ้าใสๆ ท้องฟ้าสีน้ำเงิน ที่จะได้เห็น น้ำทะเลใสๆ น่าลงเล่น ได้ภาพถ่ายทะเลที่มีสีสันสดใส ไปถ่ายภาพวิวภูเขา ก็อยากเจอฟ้ามีเมฆบ้างประปราย เพื่อที่จะได้มีแสงแดด ส่องบนเขาหรือบนพื้นเป็นหย่อมๆ ทำให้ภาพถ่ายมีแสงช่วยสร้างระดับความลึกให้กับภาพถ่าย

การถ่ายภาพแต่ละแบบต้องการสภาพที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับคนถ่ายภาพด้วยว่าอยากได้สภาพแสงลักณะไหน บางครั้งอาจต้องการ แสงแดดจัดๆ บางครั้งต้องการแสงสลัวๆ บางครั้งต้องการแสงในช่วงที่มีเมฆหนาๆ ช่วยบังแสง แต่ละสภาพแสงก็ทำให้ได้ภาพที่ มีอารมณ์ มีความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป แม้จะเป็นภาพถ่ายในมุมในสถานที่เดียวกันก็ตาม

แบบฝึกหัดสำหรับมือใหม่
เมื่อคุณเจอโลเกชั่นสวยๆ หรือสถานที่ที่ดูน่าสนใจ ลองใช้เวลาอยู่กับสถานที่นั้นนานๆ หรือกลับไปยังสถานที่นั้นในช่วงเวลาที่ต่างกัน แล้วสังเกตดูว่าสภาพแสงทำให้สถานที่นั่นเปลี่ยนแปลงอย่างไร และมองดูรอบตัวเพื่อดูสภาพแวดล้อมรอบๆ ลองถ่ายภาพในเวลา ในฤดูที่แตกต่างกัน แล้วคุณจะพบว่าแสงทำให้ภาพแตกต่างกันอย่างไร