หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

Canon Wireless File Transmitter


Canon Wireless File Transmitter
อุปกรณ์ส่งไฟล์ไร้สายรุ่นใหม่จาก Canon

Canon เปิดตัวอุปกรณ์ Wireless File Transmitter รุ่นใหม่ 2 รุ่น WFT-E2 II และ WFT-E4 II ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับ ช่างภาพที่ใช้ระบบเน็ตเวิร์คทั้งแบบสายและไร้สาย

อุปกรณ์ส่งไฟล์ไร้สายรุ่น WFT-E2 II ออกแบบมาใหม่สำหรับใช้กับกล้อง EOS 1D Mark IV และรุ่น WFT-E4 II ออกแบบมา สำหรับกล้องรุ่น EOS 5D Mark II ช่างภาพสามารถส่งไฟล์ภาพเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์หรือเซิฟเวอร์ได้อย่างปลอดภัย รวมทั้ง สามารถควบคุมการทำงานของตัวกล้องผ่านระบบ WiFi ได้โดยตรง

ส่งไฟล์ภาพได้อย่างปลอดภัย
ส่งไฟล์ภาพจากกล้องเข้าสู่คอมพิวเตอร์ ฮาร์ดดิสก์ภายนอก หรือเซิฟเวอร์ ได้อย่างง่ายดายและปลอดภัย อุปกรณ์ส่งไฟล์ไร้สายทั้ง WFT-E2 II และ WFT-E4 II รองรับการเข้ารหัสรักษาความปลอดภัยขั้นสูง WPA2-PSL และ AES ของระบบเน็ตเวิร์คไร้สาย โดยมีการเข้ารหัส IPsec เป็นระบบมาตรฐาน ทั้งระบบเน็ตเวิร์คแบบสายและไร้สาย เพื่อให้แน่ใจว่าช่างภาพทุกคนจะถูก ปกป้องรหัส IP ส่วนตัว

ถ่ายภาพด้วยระบบรีโมท
WFT-E2 II และ WFT-E4 II ให้ช่างภาพติดต่อสื่อสารกับตัวกล้องด้วยระบบรีโมท ด้วยการใช้งานผ่านทางโปรแกรม EOS Utility ช่างภาพสามารถเข้าถึงและควบคุมการทำงานของกล้องผ่านทางระบบเน็ตเวิร์ค ช่างภาพสามารถสั่งถ่ายภาพ ซึ่งถือว่าเป็นฟังก์ชั่น หลักที่ใช้งานกันในสตูดิโอภ่ายภาพ โดยช่างภาพสามารถปรับควบคุมกล้องในระบบแมนวล สามารถพรีวิวภาพถ่ายบนหน้าจอ คอมพิวเตอร์ และช่างภาพกีฬาก็สามารถควบคุมกล้องหลายๆ ตัวพร้อมกัน เพื่อให้ได้ภาพถ่ายในหลายมุมที่ต้องการ

ระบบ WFT เซิฟเวอร์รองรับการทำงานของ Java บราวเซอร์ ช่างภาพสามารถแก้ไข้ค่าการทำงานของกล้อง เช่น ความไวแสง รูรับแสง ความเร็วชัตเตอร์ ผ่านทางเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ไร้สาย เช่น PDA หรือ Smartphone ทำให้ช่างภาพสามารถ ควบคุมกล้องได้ขณะเดินทาง กล้องหนึ่งตัวสามารถรองรับการเข้าถึงของคอมพิวเตอร์ได้ถึงสามเครื่อง หรือจากอุปกรณ์มือถือ

ระบบส่งไฟล์ไร้สายยังสามารถถ่ายภาพด้วยระบบรีโมท สำหรับช่างภาพที่ต้องการภาพถ่ายในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยฟังก์ชั่น Link shooting ที่สามารถตั้งกล้องเป็น Master และ Slave โดยกล้องที่เป็นมาสเตอร์จะสั่งให้กล้องที่ถูกตั้งเป็นสเลฟถ่ายภาพจาก ระยะไกลได้ถึง 100 เมตร รองรับกล้องสเลฟได้ถึง 10 ตัว สำหรับการถ่ายภาพกีฬา ภาพสัตว์ป่าจากหลายๆ มุมในคราวเดียวกัน

การเชื่อมต่อ
WFT-E2 II และ WFT-E4 II เชื่อมต่อได้ทั้ง WiFi Protected Set-up (WPS) หรือ Alternative ที่มีขั้นตอนแนะนำวิธีการเชื่อมต่อ เข้ากับระบบเน็ตเวิร์คแบบ step-by-step ได้กับทุกเน็ตเวิร์คที่อยู่ในรัศมีการทำงาน พร้อมกับทำงานภายใต้มารตรฐาน 802.11b และ 802.11a ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานที่ใช้ในการแข่งกีฬาที่สำคัญ เช่น กีฬาโอลิมปิค ที่มีการเชื่อมต่อเข้ากับระบบ Ethernet LAN ซึ่งเป็นระบบเน็ตเวิร์คระบบสายความเร็วสูง

พอร์ตยูเอสบี ช่วยให้ช่างภาพสามารถเชื่อมต่อเข้าอุปกรณ์บลูธูท สำหรับใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ GPS เพื่อการบันทึกข้อมูลพิกัดของ ภาพถ่าย และยังสามารถเชื่อมต่อเข้ากับฮาร์ดดิสก์แบบ external เพื่อการจัดเก็บภาพถ่ายลงฮาร์ดดิสก์ได้อย่างรวดเร็ว

Canon EOS 1D Mark IV


Canon EOS 1D Mark IV
กล้องดิจิตอลซีรี่ส์ 1D เร็ว แรง ความละเอียดสูง

Canon เปิดตัวกล้องรุ่นใหม่ EOS-1D Mark IV สำหรับช่างภาพอาชีพที่ต้องการความรวดเร็ว กล้องถูกออกแบบให้ทำงานได้อย่าง รวดเร็วเพื่อการบันทึกภาพอย่างฉับไว ทันสถานะการณ์ อาทิ ภาพเคลื่อนไหว ภาพกีฬา ภาพงานแถลงข่าว และภาพสัตว์ป่า กล้อง Canon EOS-1D Mark IV มีทั้งความเร็ว ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม และความละเอียดสูง จึงเป็นกล้องสำหรับช่างภาพที่ต้องการ กล้องที่มีความทนทาน ทำงานฉับไว ภายใต้สถานะการณ์ที่ต้องแข่งกับเวลา

กล้อง Canon EOS-1D Mark IV ใช้อิมเมจเซ็นเซอร์แบบ APS-H ที่มีความละเอียดสูง 16.1 ล้านพิกเซล จุดออโต้โฟกัส 45 จุด และจุดโฟกัสความเร็วสูงแบบกากบาท 39 จุด ที่ F2.8 ให้ความแม่นยำในการโฟกัสครอบคลุมพื้นที่เฟรมภาพ ระบบประมวลผล แบบคู่ DIGIC 4 พลังสำหรับการถ่ายภาพต่อเนื่อง สามารถ่ายภาพความละเอียดสูงได้ 10 เฟรมต่อวินาที พร้อมความไวแสงที่สูง

กระบวนการออกแบบและผลิต EOS-1D Mark IV ได้นำข้อคิดเห็นจากกลุ่มช่างภาพ และนำมาสร้างเป็นกล้องที่ตรงกับความ ต้องการ จนได้กล้องที่มีอิมเมจเซ็นเซอร์แบบ CMOS รุ่นใหม่ ระบบประมวลผลภาพแบบคู่ DIGIC 4

ความไวแสงสูง, จุดโฟกัสแบบกากบาท บันทึกภาพด้วยความเร็วสูง
กล้อง EOS 1D Mark IV มีจุดออโต้โฟกัส 45 จุด พร้อมด้วยจุดโฟกัสความเร็วสูงแบบกากบาท 39 จุด เมื่อใช้รูรับแสงที่ F2.8 ครอบคลุมพื้นที่แนวกว้างของเฟรมภาพ ทำให้โฟกัสทั้งสิ่งที่อยู่นิ่งหรือสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็น จุดโฟกัสจุดไหน ผู้ใช้สามารถเลือกใช้งานได้ทั้ง 45 จุด

พลังจากระบบประมวลผลคู่ของ DIGIC 4 และ CMOS
การรวมพลังระหว่างอิมเมจเซ็นเซอร์แบบ APS-H CMOS ความละเอียด 16.1 ล้านพิกเซล และระบบประมวลผลคู่ DIGIC 4 ทำให้ได้ภาพที่มีความคมชัดพร้อมกับความรวดเร็ว

ระบบประมวลผล DIGIC 4 แบบคู่ ที่ช่วยให้การถ่ายภาพต่อเนื่องเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยระบบส่งข้อมูลออก 8 แชนเนล สามารถ ถ่ายภาพต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงที่ความละเอียด 16.1 ล้านพิกเซล พร้อมเก็บรายละเอียดสีแบบ 14 บิต

ถ่ายภาพได้ด้วยความเร็ว 10 ภาพต่อวินาที โดยไม่มีการลดความละเอียดของภาพลง ทำให้กล้อง EOS 1D Mark IV เป็นกล้องรุ่น ที่ถ่ายภาพได้ด้วยความเร็วสูงที่สุด ในบรรดากล้อง DSLR ของ Canon ที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยสามารถถ่ายภาพต่อเนื่อง 121 ภาพ สำหรับไฟล์ JPEG Large หรือ 28 ภาพต่อเนื่องสำหรับไฟล์ RAW เมื่อใช้เมโมรีการ์ดแบบ UDMA 6 รองรับการทำงานกับเมโมรี การ์ดแบบ UDMA 6 มาตณฐานล่าสุด และเมโมรีการ์ดแบบ SD/SDHC

EOS 1D Mark IV มาพร้อมกับพิคเจอร์สไตล์อัพเดคล่าสุด และได้นำเอา Auto Lighting Optimizer มาใส่ไว้ในกล้องระดับโปร เป็นครั้งแรก เพื่อช่วยจัดการกับคอนทราสต์และความสว่างของภาพถ่ายให้โดยอัตโนมัติ ได้ภาพถ่ายที่พร้อมใช้งานได้ทันที จากตัวกล้อง ช่วยเพิ่มความรวดเร็วในขั้นตอนการทำงานของกระบวนการผลิตข่าว ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการรีทัชภาพ

ขุมพลังในสภาพแสงน้อย
EOS 1D Mark IV มีความไวแสงแบบมาตรฐานระหว่าง 100 - 12,800 พร้อมด้วยแบบขยายระหว่าง 50 - 102,400 ซึ่งเป็น ความไวแสงสูงที่ไม่เคยมีมาก่อนในกล้อง Canon ด้วยความไวแสงที่สูงทำให้สามารถ ถ่ายภาพในช่วงเย็น หรือในสถานที่ที่แทบ ไม่มีแสง จนแทบไม่มีทางที่จะถ่ายภาพได้เลย

ระบบลด Noise แบบอัจฉริยะ ที่ทำให้ทั้ง chroma และ luminance noise เหลือน้อยที่สุด โดยที่ยังคงความสมดุลย์ของสี และไม่ทำให้ คุณภาพโดยรวมทั้งหมดของภาพเสียไป อิมเมจเซ็นเซอร์รุ่นใหม่มีช่องว่างระหว่าง microlens น้อยลง ช่วยเพิ่มความไวแสง เซลล์รับแสงที่มีความจุมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย

โครงสร้างที่แข็งแกร่ง กันน้ำ
EOS 1D Mark IV มีบอดี้ทำจากแมกนีเซียมอัลลอย ที่ทนทานต่อแรงกระแทก พร้อมการออกแบบใหม่ในบางจุด ปุ่มที่ออกแบบ ให้มีรูปทรงใหม่ ให้มีเสียงคลิ้กเมื่อกด เพื่อทำให้การใช้งานง่ายขึ้น และระบบซีลกันน้ำที่มียางซีลกันน้ำกันฝุ่นถึง 76 จุด รอบบริเวณปุ่มและรอยตะเข็บ ช่วยให้ป้องกันฝุ่นและน้ำเมื่อใช้ร่วมกับเลนส์ EF และแฟลช EX ที่มีระบบกันน้ำ

จอแอลซีดี Clear View II ความละเอียดสูง 920,000 พิกเซล สำหรับการดูภาพและวิดีโอที่ถ่าย หน้าจอที่มีแสงสะท้อนน้อย ช่วยให้ มองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน หน้าจอรุ่นใหม่ใช้กระจกแทนอะครีลิก ทำให้มีความทนทาน ป้องกันรอยขีดข่วนที่จะเกิดขึ้น บนหน้าจอได้ดีกว่าเดิม

ถ่ายภาพยนต์และวิดีโอแบบ Hi-Def
นอกจากภาพนิ่งความละเอียดสูงแล้ว EOS 1D Mak IV ยังมีฟีเจอร์ในการถ่ายวิดีโอ สามารถบันทึกภาพวิดีโอ ความละเอียด 1080p (HD) ที่ 30, 25 และ 24 เฟรมต่อวินาที และความละเอียด 720p ที่ 60 และ 50 เฟรมต่อวินาที รองรับได้ทั้งระบบ PAL และ NTSC พร้อมด้วยภาพวิดีโอ 1080/24 ซึ่งเป็นเฟรมเรตแบบเดียวกับที่ใช้ในการถ่ายภาพยนต์ ตัวกล้องสามารถใช้ระบบแมนวลได้ เต็มรูปแบบ เพื่อการถ่ายภาพยนต์และการถ่ายภาพ ที่ต้องการควบคุมควบชัดลึก

EOS 1D Mark IV สามารถตั้งโปรแกรมให้กับปุ่ม เพื่อเข้าสู่โหมดถ่ายวิดีโอได้อย่างรวดเร็ว ให้ช่างภาพเลือกบันทึกภาพวิดีโอแบบ HD ได้ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว พร้อมด้วยช่องสัญญาณ mini HDMI เพื่อการรับชมภาพวิดีโอและภาพนิ่งบนจอทีวีได้โดยตรง

EOS 1D Mark IV มีระบบให้ผู้ใช้ตั้งค่าการทำงานขั้นสูง ทำให้ช่างภาพสามารถใช้ฟีเจอร์ต่างๆ ของกล้องได้อย่างเต็มที่ ทั้งระบบ การคำนวณค่าแสงอัตโนมัติ และระบบคำนวณแสงแฟลชอัตโนมิติ ที่สามารถปรับได้อย่างละเอียด เพื่อการปรับแต่งค่าการทำงาน ของกล้องสองตัวให้เหมือนกัน เพื่อให้เหมาะสมกับสไตล์การใช้งานของแต่ละคน โปรไฟล์ของกล้องที่ตั้งค่าเอาไว้ สามารถบันทึกลง เมโมรีการ์ด แล้วโหลดเข้ากล้องอีกตัวได้ทันทีหากต้องการ

ปกป้องภาพถ่าย ด้วยฟีเจอร์การเพิ่มข้อมูลเกี่ยวลิขสิทธิ์โดยตรงในตัวกล้อง ทำให้ช่างภาพสามารถฝังข้อมูลรายละเอียดด้านลิขสิทธิ์ ลงไปในภาพถ่ายทุกภาพที่ถ่าย พร้อมด้วยไมโครโฟนภายในตัวกล้อง สำหรับการบันทึกเสียงเป็นรายละเอียดสั้นๆ เกี่ยวกับ ภาพถ่าย

Canon EOS 1D Mark IV


Canon EOS 1D Mark IV
กล้องดิจิตอลซีรี่ส์ 1D เร็ว แรง ความละเอียดสูง

Canon เปิดตัวกล้องรุ่นใหม่ EOS-1D Mark IV สำหรับช่างภาพอาชีพที่ต้องการความรวดเร็ว กล้องถูกออกแบบให้ทำงานได้อย่าง รวดเร็วเพื่อการบันทึกภาพอย่างฉับไว ทันสถานะการณ์ อาทิ ภาพเคลื่อนไหว ภาพกีฬา ภาพงานแถลงข่าว และภาพสัตว์ป่า กล้อง Canon EOS-1D Mark IV มีทั้งความเร็ว ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม และความละเอียดสูง จึงเป็นกล้องสำหรับช่างภาพที่ต้องการ กล้องที่มีความทนทาน ทำงานฉับไว ภายใต้สถานะการณ์ที่ต้องแข่งกับเวลา

กล้อง Canon EOS-1D Mark IV ใช้อิมเมจเซ็นเซอร์แบบ APS-H ที่มีความละเอียดสูง 16.1 ล้านพิกเซล จุดออโต้โฟกัส 45 จุด และจุดโฟกัสความเร็วสูงแบบกากบาท 39 จุด ที่ F2.8 ให้ความแม่นยำในการโฟกัสครอบคลุมพื้นที่เฟรมภาพ ระบบประมวลผล แบบคู่ DIGIC 4 พลังสำหรับการถ่ายภาพต่อเนื่อง สามารถ่ายภาพความละเอียดสูงได้ 10 เฟรมต่อวินาที พร้อมความไวแสงที่สูง

กระบวนการออกแบบและผลิต EOS-1D Mark IV ได้นำข้อคิดเห็นจากกลุ่มช่างภาพ และนำมาสร้างเป็นกล้องที่ตรงกับความ ต้องการ จนได้กล้องที่มีอิมเมจเซ็นเซอร์แบบ CMOS รุ่นใหม่ ระบบประมวลผลภาพแบบคู่ DIGIC 4

ความไวแสงสูง, จุดโฟกัสแบบกากบาท บันทึกภาพด้วยความเร็วสูง
กล้อง EOS 1D Mark IV มีจุดออโต้โฟกัส 45 จุด พร้อมด้วยจุดโฟกัสความเร็วสูงแบบกากบาท 39 จุด เมื่อใช้รูรับแสงที่ F2.8 ครอบคลุมพื้นที่แนวกว้างของเฟรมภาพ ทำให้โฟกัสทั้งสิ่งที่อยู่นิ่งหรือสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็น จุดโฟกัสจุดไหน ผู้ใช้สามารถเลือกใช้งานได้ทั้ง 45 จุด

พลังจากระบบประมวลผลคู่ของ DIGIC 4 และ CMOS
การรวมพลังระหว่างอิมเมจเซ็นเซอร์แบบ APS-H CMOS ความละเอียด 16.1 ล้านพิกเซล และระบบประมวลผลคู่ DIGIC 4 ทำให้ได้ภาพที่มีความคมชัดพร้อมกับความรวดเร็ว

ระบบประมวลผล DIGIC 4 แบบคู่ ที่ช่วยให้การถ่ายภาพต่อเนื่องเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยระบบส่งข้อมูลออก 8 แชนเนล สามารถ ถ่ายภาพต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงที่ความละเอียด 16.1 ล้านพิกเซล พร้อมเก็บรายละเอียดสีแบบ 14 บิต

ถ่ายภาพได้ด้วยความเร็ว 10 ภาพต่อวินาที โดยไม่มีการลดความละเอียดของภาพลง ทำให้กล้อง EOS 1D Mark IV เป็นกล้องรุ่น ที่ถ่ายภาพได้ด้วยความเร็วสูงที่สุด ในบรรดากล้อง DSLR ของ Canon ที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยสามารถถ่ายภาพต่อเนื่อง 121 ภาพ สำหรับไฟล์ JPEG Large หรือ 28 ภาพต่อเนื่องสำหรับไฟล์ RAW เมื่อใช้เมโมรีการ์ดแบบ UDMA 6 รองรับการทำงานกับเมโมรี การ์ดแบบ UDMA 6 มาตณฐานล่าสุด และเมโมรีการ์ดแบบ SD/SDHC

EOS 1D Mark IV มาพร้อมกับพิคเจอร์สไตล์อัพเดคล่าสุด และได้นำเอา Auto Lighting Optimizer มาใส่ไว้ในกล้องระดับโปร เป็นครั้งแรก เพื่อช่วยจัดการกับคอนทราสต์และความสว่างของภาพถ่ายให้โดยอัตโนมัติ ได้ภาพถ่ายที่พร้อมใช้งานได้ทันที จากตัวกล้อง ช่วยเพิ่มความรวดเร็วในขั้นตอนการทำงานของกระบวนการผลิตข่าว ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการรีทัชภาพ

ขุมพลังในสภาพแสงน้อย
EOS 1D Mark IV มีความไวแสงแบบมาตรฐานระหว่าง 100 - 12,800 พร้อมด้วยแบบขยายระหว่าง 50 - 102,400 ซึ่งเป็น ความไวแสงสูงที่ไม่เคยมีมาก่อนในกล้อง Canon ด้วยความไวแสงที่สูงทำให้สามารถ ถ่ายภาพในช่วงเย็น หรือในสถานที่ที่แทบ ไม่มีแสง จนแทบไม่มีทางที่จะถ่ายภาพได้เลย

ระบบลด Noise แบบอัจฉริยะ ที่ทำให้ทั้ง chroma และ luminance noise เหลือน้อยที่สุด โดยที่ยังคงความสมดุลย์ของสี และไม่ทำให้ คุณภาพโดยรวมทั้งหมดของภาพเสียไป อิมเมจเซ็นเซอร์รุ่นใหม่มีช่องว่างระหว่าง microlens น้อยลง ช่วยเพิ่มความไวแสง เซลล์รับแสงที่มีความจุมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย

โครงสร้างที่แข็งแกร่ง กันน้ำ
EOS 1D Mark IV มีบอดี้ทำจากแมกนีเซียมอัลลอย ที่ทนทานต่อแรงกระแทก พร้อมการออกแบบใหม่ในบางจุด ปุ่มที่ออกแบบ ให้มีรูปทรงใหม่ ให้มีเสียงคลิ้กเมื่อกด เพื่อทำให้การใช้งานง่ายขึ้น และระบบซีลกันน้ำที่มียางซีลกันน้ำกันฝุ่นถึง 76 จุด รอบบริเวณปุ่มและรอยตะเข็บ ช่วยให้ป้องกันฝุ่นและน้ำเมื่อใช้ร่วมกับเลนส์ EF และแฟลช EX ที่มีระบบกันน้ำ

จอแอลซีดี Clear View II ความละเอียดสูง 920,000 พิกเซล สำหรับการดูภาพและวิดีโอที่ถ่าย หน้าจอที่มีแสงสะท้อนน้อย ช่วยให้ มองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน หน้าจอรุ่นใหม่ใช้กระจกแทนอะครีลิก ทำให้มีความทนทาน ป้องกันรอยขีดข่วนที่จะเกิดขึ้น บนหน้าจอได้ดีกว่าเดิม

ถ่ายภาพยนต์และวิดีโอแบบ Hi-Def
นอกจากภาพนิ่งความละเอียดสูงแล้ว EOS 1D Mak IV ยังมีฟีเจอร์ในการถ่ายวิดีโอ สามารถบันทึกภาพวิดีโอ ความละเอียด 1080p (HD) ที่ 30, 25 และ 24 เฟรมต่อวินาที และความละเอียด 720p ที่ 60 และ 50 เฟรมต่อวินาที รองรับได้ทั้งระบบ PAL และ NTSC พร้อมด้วยภาพวิดีโอ 1080/24 ซึ่งเป็นเฟรมเรตแบบเดียวกับที่ใช้ในการถ่ายภาพยนต์ ตัวกล้องสามารถใช้ระบบแมนวลได้ เต็มรูปแบบ เพื่อการถ่ายภาพยนต์และการถ่ายภาพ ที่ต้องการควบคุมควบชัดลึก

EOS 1D Mark IV สามารถตั้งโปรแกรมให้กับปุ่ม เพื่อเข้าสู่โหมดถ่ายวิดีโอได้อย่างรวดเร็ว ให้ช่างภาพเลือกบันทึกภาพวิดีโอแบบ HD ได้ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว พร้อมด้วยช่องสัญญาณ mini HDMI เพื่อการรับชมภาพวิดีโอและภาพนิ่งบนจอทีวีได้โดยตรง

EOS 1D Mark IV มีระบบให้ผู้ใช้ตั้งค่าการทำงานขั้นสูง ทำให้ช่างภาพสามารถใช้ฟีเจอร์ต่างๆ ของกล้องได้อย่างเต็มที่ ทั้งระบบ การคำนวณค่าแสงอัตโนมัติ และระบบคำนวณแสงแฟลชอัตโนมิติ ที่สามารถปรับได้อย่างละเอียด เพื่อการปรับแต่งค่าการทำงาน ของกล้องสองตัวให้เหมือนกัน เพื่อให้เหมาะสมกับสไตล์การใช้งานของแต่ละคน โปรไฟล์ของกล้องที่ตั้งค่าเอาไว้ สามารถบันทึกลง เมโมรีการ์ด แล้วโหลดเข้ากล้องอีกตัวได้ทันทีหากต้องการ

ปกป้องภาพถ่าย ด้วยฟีเจอร์การเพิ่มข้อมูลเกี่ยวลิขสิทธิ์โดยตรงในตัวกล้อง ทำให้ช่างภาพสามารถฝังข้อมูลรายละเอียดด้านลิขสิทธิ์ ลงไปในภาพถ่ายทุกภาพที่ถ่าย พร้อมด้วยไมโครโฟนภายในตัวกล้อง สำหรับการบันทึกเสียงเป็นรายละเอียดสั้นๆ เกี่ยวกับ ภาพถ่าย

ความแตกต่างระหว่างแฟลช Canon 580EX II และ 430EX II


ความแตกต่างระหว่างแฟลช Canon 580EX II และ 430EX II

มีความแตกต่างมากมายระหว่างแฟลชสองรุ่นนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ราคาเท่านั้น แต่ฟังก์ชันต่างๆ ก็ต่างกันหลายอย่าง มาดูสิ่งที่แตกต่างกันว่ามีอะไรบ้าง

พลัง
สิ่งที่แฟลช 580EX II เหนือกว่า 430EX II ก็คือความแรงของแสงแฟลช ที่ให้ความสว่างไกลกว่ารุ่น 430 ถึง 35% (58 เมตร และ 43 เมตร) ความสว่างความแรงของแสงที่มากกว่า จะมีประโยชน์เมื่อคุณจำเป็นต้องใช้แฟลชสะท้อนเพดาน ใช้แฟลชจากระยะไกล หรือใช้แฟลชร่วมกับอุปกรณ์กระจายแสงต่างๆ เช่น ถ้วยมาม่าต้มยำ (เน้นฮา) ร่มสะท้อนแสง ซอฟท์บ็อก ซึ่งการใช้แฟลชในลักษณะนี้จะทำให้เสียความสว่างของแสงไป ในบางสถานะการณ์อาจทำให้ความสว่างของแฟลชไม่เพียงพอ

โครงสร้าง
แฟลชรุ่น 580EX II มีขนาดที่ใหญ่กว่า น้ำหนักมากกว่า โครงสร้างมีความแข็งแรงกว่า มีซีลกันฝุ่น กันละอองน้ำที่บริเวณส่วนสำคัญ ของแฟลชคือ ที่หัวแฟลช บานพับช่องใส่แบต เตอรี่ บริเวณฐานด้านล่างที่จะใช้ติดกับตัวกล้อง และฐานของแฟลช 580EX II เป็น โลหะ ตัวล็อกแฟลชกับฮ็อตชูของกล้องก็เป็นแบบก้านล็อก ส่วน 430EX II เป็นแบบเกลียว

แผ่นสะท้อนแสง
ด้านหน้าของแฟลช 580EX II จะมีแผ่นพลาสติกใส ซึ่งเอาไว้ใช้กระจายแสงเมื่อใช้กับเลนส์มุมกว้าง และแผ่นพลาสติกสีขาว เอาไว้ใช้สะท้อนแสงเพื่อทำให้เกิดประกายแสง ในดวงตาเวลาถ่ายภาพคน (เวลาใช้งานต้องปรับหัวแฟลชให้ตั้งขึ้น 90 องศา แล้วดึงแผ่นสะท้อนแสงสีขาวขึ้น และใช้งานอยู่ในระยะประมาณ 1.5 เมตร) ส่วนแฟลช 430EX II จะมีเฉพาะแผ่นกระจายแสง มุมกว้างเท่านั้น

ระบบทำงานแบบไร้สาย
แฟลชรุ่นท็อปของ Canon เช่น 550, 580, 580EX II จะมีตัวรับ/ส่งสัญญาณแบบอินฟราเรด ดังนั้นจึงสามารถส่งสัญญาณให้แฟลช ตัวอื่นทำงาน หรือเป็นตัวรับสัญญาณจากแฟลช ตัวอื่นก็ได้ ในขณะที่แฟลช 430EX II จะมีเพียงแค่ตัวรับสัญญาณ หากต้องการ ใช้งานแบบไร้สาย ก็ต้องมีแฟลช 580EX II เป็นตัวสั่งงาน หรืออาจจะใช้ อุปกรณ์สั่งงานแฟลชไร้สาย แบบอินฟราเรด Canon ST-E2 เป็นตัวสั่ง

ปุ่มควบคุมการใช้งาน
ปุ่มควบคุมการใช้งานด้านหลังของตัวแฟลช 580EX II จะเป็นแบบวงล้อหมุน ทำให้ใช้งานได้ง่ายกว่า ในขณะที่ด้านหลังของ 430EX II จะเป็นแบบปุ่มกด ทำให้การใช้งานต้อง เสียเวลากดปุ่มกันวุ่นวาย คนที่ใช้กล้องพวกเลขสองหลัก หรือหลักเดียว 50D, 5D, 1Ds คงจะรู้ว่าปุ่มหมุนด้านหลังกล้องนะเยี่ยมจริงๆ เวลาใช้งาน

ช่องต่ออุปกรณ์ด้านข้าง
ด้านข้างของแฟลช 580EX II จะมีคอนเน็คเตอร์สามช่อง ช่องบนซ้ายมีไว้สำหรับต่อกับแบตเตอรีภายนอก ช่องบนขวาเอาไว้สำหรับ ยึดแฟลชเข้ากับ Flash Bracket สำหรับ แยกแฟลชออกจากตัวกล้อง และช่องด้านล่างสุดเป็นช่อง PC Connector เอาไว้สำหรับ ต่อสายอุปกรณ์สั่งงานแฟลชไร้สายแบบใช้คลื่นวิทยุ (อ่านรายละเอียดจากเรื่อง Wireless Flash) สำหรับแฟลช 430EX II จะมีเพียง ช่องสำหรับติดกับ Flash Bracket เท่านั้น

มิเตอร์วัดแสงภายนอก
แฟลช 580EX II มีเซ็นเซอร์วัดแสงอยู่ด้านหน้าของแฟลช ซึ่งระบบนี้ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งระบบการวัดแสง และคำนวณค่า แสงแฟลชของตัวกล้อง ตัวเซ็นเซอร์วัดแสงที่แฟลช จะทำหน้าที่อัตโนมัติ โดยการใช้งานจะต้องตั้งค่า ISO และรูรับแสงของแฟลช ให้ตรงกับค่าในกล้อง ยกเว้นกล้องรุ่น 1D MK III ตัวแฟลชจะทำงานในโหมดอัตโนมัติ ปรับค่า ISO และรูรับแสงตามกล้อง

โหมด stroboscopic
แฟลช 580EX II มีโหมด stroboscopic ซึ่งเป็นการปล่อยแสงแฟลชออกมาหลายๆ ครั้ง โดยสามารถตั้งจำนวนครั้งในการปล่อย แสงแฟลช และระยะห่างในการปล่อยแสงแฟลช ในการใช้งานจะต้องใช้กับความเร็วชัตเตอร์ B และในที่มืด ส่วนแฟลช 430EX II ไม่มีโหมดนี้ ก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะผมใช้แฟลช 580 มาเป็นปีๆ ก็ยังไม่ได้ใช้โหมด stroboscopic สักครั้ง

ข้อแตกต่างอื่นๆ ระหว่าง 580EX II และ 430EX II
- 580 กำลังไฟสูงกว่า ขนาดใหญ่กว่า น้ำหนักมากกว่า เสียงขณะใช้งานเงียบกว่า
- 580 กำหนด Custom Function ได้ 14 แบบ 430 ได้ 9 แบบ
- 580 มีไฟช่วยโฟกัส 45 จุด ได้ประโยชน์เต็มๆ กับกล้องพวก 1D
- 580 มีโหมด stroboscopic (ปล่อยแสงแฟลชออกมาหลายๆ ครั้ง ในการถ่ายภาพ)
- 580 โหมดแมนวลปรับกำลังของแสงแฟลชได้ตั้งแต่ 1/1 - 1/128 ส่วน 430 ได้ตั้งแต่ 1/1 - 1/64
- 580 ปรับหัวแฟลชก้มต่ำลงได้ 7 องศา 430 ไม่ได้ ปรับหัวแฟลชไปทางซ้าย/ขวา ได้ 0 - 180 องศา 430 ปรับซ้าย 0 - 180 ปรับขวาได้ 0 - 90 องศา

แล้วจะใช้รุ่นไหนดี
แน่นอนว่าแฟลช 580EX II ดีกว่าในทุกด้าน ฟังก์ชั่นการใช้งาน วัสดุ ปุ่มปรับต่างๆ และรวมถึงราคาด้วย แต่หากเทียบในด้าน การใช้งานจริง ที่ส่วนใหญ่ใช้ถ่ายภาพกันในระยะ 2-6 เมตร ใช้แฟลชสะท้อนเพดานบ้าง แฟลช 430EX II ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า 580EX II ที่สำคัญแฟลช 430EX II ความเร็วในการชาร์จต่อรอบเร็วกว่า แต่ไม่ว่าจะใช้แฟลชรุ่นไหน ตัวผู้ใช้เองต้องรู้ว่าตัวเอง ถ่ายภาพประเภทไหน มีความจำเป็นต้องใช้แฟลชในการถ่ายภาพหรือเปล่า และที่สำคัญคือเข้าใจเรื่องแสงดีพอหรือยัง

เหตุผลเด็ดๆ ทำไมถึงต้องใช้ External Flash


เหตุผลเด็ดๆ ทำไมถึงต้องใช้ External Flash

ความเข้าใจของหลายๆ คนคิดว่า แฟลชมีไว้สำหรับการถ่ายภาพกลางคืน หรือในที่ที่มีแสงสว่างน้อยเท่านั้น คุณสามารถใช้แฟลช กับการถ่ายภาพกลางแจ้ง และสามารถใช้ในการสร้างแสงตามแนวความคิดที่คุณต้องการ เช่น การถ่ายภาพพรอเทรท ภาพอาหาร ภาพสินค้า ฯลฯ ดังนั้นแฟลชจึงมีความจำเป็นอันดับต้นๆ ในการถ่ายภาพ ด้วยเหตุนี้กล้อง DSLR จึงมี Hot shoe สำหรับไว้ใช้ แฟลชภายนอกเพิ่มเติม มาดูเหตุผลว่าทำไมถึงต้องมีแฟลชภายนอกอีก ในเมื่อกล้อง DSLR ส่วนใหญ่ก็มีแฟลช pop-up อยู่แล้ว

ระยะเวลาในการชาร์จสั้นกว่า
ถ้าคุณใช้แฟลชหัวกล้องหรือแฟลช pop-up เมื่อถ่ายภาพภาพหนึ่งแล้ว แฟลชจะต้องใช้ระยะเวลาสักครู่ในการชาร์ ประจุ เติมกำลังไฟที่ใช้ในการสร้างแสงแฟลชรอบใหม่ ซึ่งจะชาร์จประจุกันภาพต่อภาพ ระยะเวลาที่ใช้แต่ละครั้งประมาณ 2-3 วินาที ในระหว่างที่รอแฟลชชาร์จคุณจะถ่ายภาพต่อไม่ได้ ซึ่งทำพลาดช็อตสำคัญ เช่น การถ่ายภาพงาน แถลงข่าว หรืองานพิธีต่างๆ ที่ต้องอาศัยความรวดเร็ว และการที่แฟลชหัวกล้องใช้แบตเตอรี่จากตัวกล้อง ก็ทำให้แบตเตอรี่ของกล้องหมดเร็วขึ้นด้วย ส่วนแฟลชภายนอกจะมี ความเร็วในการชาร์จต่อรอบเร็วกว่า จนคุณสามารถถ่ายภาพแบบภาพต่อภาพ หรือถ่ายต่อเนื่องติดๆ กัน

ปรับทิศทางของแสง
แฟลชหัวกล้องจะปล่อยแสงแฟลชออกไปด้านหน้าตรงๆ ทำให้ได้ภาพที่ดูแบน และมีเงาเกิดขึ้นด้านหลัง ส่วนแฟลชภายนอก นอกจาก จะปล่อยแสงแฟลชออกไปด้านหน้า ยังสามารถปรับหน้าแฟลชให้หันซ้าย หันขวา ปรับก้ม/ เงย เพื่อให้แสงแฟลชสะท้อน กับเพดาน หรือกำแพง ทำให้ได้แสงแฟลชจากทิศทางอื่น การสะท้อนแฟลชกับเพดาน หรือกำแพง ทำให้ได้แสงที่นุ่ม ให้ภาพถ่ายที่มีมิติ ลดการ เงาดำที่เกิดจากการใช้แฟลช ไม่ทำให้เกิดตาแดงกับการถ่ายภาพคน

แก้ไขเปลี่ยนแปลงแสง
แฟลชภายนอกมีอุปกรณ์เสริม เพื่อใช้ในการแก้ไขลักษณะของแสงให้ได้รูปแบบอย่างที่ต้องการ อุปกรณ์เสริมมีให้ใช้มากมาย เช่น Snoot เป็นกรวยเอาไว้บีบให้แสงแฟลชแคบลง, Softbox เอาไว้ทำให้แสงแฟลชนุ่ม (ส่วนใหญ่นิยมใช้ร่มสะท้อนแสง หรือร่ม ที่เป็นผ้าขาว เนื่องจากหาซื้อง่ายและราคาถูกกว่า) Gel แผ่นพลาสติกสีเอาไว้ติดด้านหน้าของแฟลช เพื่อทำให้แสงเป็นสีอื่นๆ เช่น น้ำเงิน แดง หรือ ส้ม นอกจากนี้ยังอุปกรณ์อีกหลายชนิด เช่น Grid, Barndoor,

รีโมทแฟลช
รีโมทแฟลชเป็นการใช้แฟลชตัวหนึ่งสั่งให้แฟลชอีกตัวทำงาน ซึ่งมีความจำเป็นเมื่อคุณต้องใช้แฟลชหลายๆ ตัวจัดแสง แต่ฮ็อตชู กล้องติดตั้งแฟลชได้เพียงตัวเดียว การจะสั่งงาน แฟลชหลายๆ ตัวให้ทำงานพร้อมกันได้ก็ต้องใช้ระบบ Remote Flash เข้ามาช่วย หลักการทำงานของระบบรีโมทแฟลช จะต้องมีแฟลชตัวหนึ่งเป็นตัวส่งสัญญาณ โดยแฟลชที่ทำ หน้าที่ส่งสัญญาณจะเรียกว่า Master หรือ Remote แล้วแฟลชตัวอื่นที่เหลือก็จะทำหน้าที่เป็นตัวรับสัญญาณ แฟลชที่ทำหน้าที่รับสัญญาณจะเรียกว่า Slave ทันทีที่ได้รับ สัญญาณ มาจากแฟลชตัวมาสเตอร์ แฟลชตัวสเลฟก็จะปล่อยแสงแฟลชออกมาตามบัญชาของแฟลชมาสเตอร์

แฟลชรุ่นท็อปสุดของกล้องแต่ละยี่ห้อ เช่น Canon 580EX II, Nikon SB800, SB900, Olympus FL-50R จะสามารถทำงานได้ทั้ง Master/Slave ถ้าหากคุณมีแฟลช 580 EX II สองตัว คุณก็สามารถตั้งให้ตัวหนึ่งทำงานเป็นมาสเตอร์ และอีกตัวเป็นสเลฟได้ ส่วนแฟลชรุ่นรองลงมา เช่น Canon 430 EX II, Nikon SB 600 ตัวแฟลชจะมีเพียงแค่โหมด Slave อย่างเดียว จึงจำเป็นต้องมี แฟลชรุ่นท็อปมาคอยสั่งงาน หรืออาจใช้อุปกรณ์สั่งงานไร้สายเพิ่มเติม เช่น Canon ST-E2, Nikon SU-800 หรือพวก Radio Trigger ซึ่งเป็นอุปกรณ์ สั่งงานแฟลชไร้สาย (รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้จากเรื่อง Wireless Flash)

หมายเหตุ : แฟลชป็อบอัพของกล้อง Nikon (บางรุ่น) สามารถสั่งงานแฟลชภายนอกให้ทำงานได้ ตรวจสอบจากคู่มือของกล้อง

ทั้งหมดก็เป็นจุดเด่นของแฟลชภายนอก ที่มีความหลากหลายในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการปรับทิศทาง การปรับแต่งแสง การใช้แฟลชแยกออกจากตัวกล้อง หรือการใช้แฟลช ร่วมกันหลายๆ ตัว แต่ในการใช้งานแฟลชร่วมกับการถ่ายภาพนั้น คุณต้องมีความเข้าใจเรื่องแสงกับการถ่ายภาพด้วย ซึ่งจะช่วยให้คุณเห็นช่องทางในการใช้แฟลชสร้างแสง ในแบบที่ต้องการ

มือใหม่เลือกซื้อเลนส์


มือใหม่เลือกซื้อเลนส์

คุณอาจสงสัยว่ากล้อง DSLR บางรุ่นไม่มีเลนส์ บางรุ่นมีเลนส์ นั่นก็เพราะว่าเป็นกล้องที่ถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ ดังนั้นคุณจึงสามารถเลือกเลนส์ที่เหมาะสมกับการใช้งานมาใช้กับกล้อง ได้ตามความต้องการ และประเด็นที่สำคัญคือแต่ละคนต้องมีความต้องการและงบประมาณที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้กล้อง DSLR จึงมีรุ่นที่ขายตัวกล้องพร้อมเลนส์ และขายเฉพาะ ตัวกล้อง โดยที่คุณต้องจ่ายเงินซื้อเลนส์รุ่นที่ต้องการหรือรุ่นที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานของคุณเอง

ต้องการถ่ายภาพอะไรกันแน่?
คำถามแรกสุดที่คุณควรถามตัวเองก่อนก็คือ คุณต้องการถ่ายภาพอะไร คุณอยากจะถ่ายภาพดอกไม้ ถ่ายภาพคน ถ่ายภาพกีฬา ถ่ายภาพทิวทัศน์ ถ่ายภาพนก ถ่ายภาพสัตว์เลี้ยง หรือเพียงแค่ถ่ายภาพขณะเดินทางท่องเที่ยว

มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าเลนส์หรือเปล่า?
ราคาเลนส์มีตั้งแต่ราคาไม่กี่พัน จนขึ้นหลักหลายแสน งบประมาณของคุณมีมากแค่ไหน

ต้องการเลนส์ใหม่เอี่ยมหรือเลนส์มือสอง?
เลนส์ที่มีขายในร้านก็มีเลนส์ใหม่เอี่ยม นอกจากนี้ยังมีเลนส์มือสองขายเกลื่อนทั้งตามร้าน และประกาศขายทางเว็บไซต์ บางคนเบื่อ บางคนซื้อไปแล้วแทบไม่ได้ใช้ นานเข้าก็เอาออกมาขาย

ต้องการเลนส์ฟิกหรือเลนส์ซูม?
โดยปกติแล้วเลนส์ Fix หรือ Prime lens จะมีคุณภาพที่ดีกว่าเลนส์ซูม ยกเว้นเลนส์ซูมเกรดโปร สำหรับเลนส์ฟิกก็เปรียบเสมือนกับดวงตาของเรา อยากเห็นอะไรใกล้ๆ ก็ต้องเดินเท้าเข้าไป เมื่ออยู่ใกล้ไปก็ต้องถอยออกมา ส่วนเลนส์ซูมจะให้ความสะดวกตรงที่ไม่ต้องเดินเข้าไป คุณสามารถปรับระยะซูมของเลนส์ให้เห็นภาพได้ใกล้ขึ้นหรือไกลออกมาได้

ทางยาวโฟกัสของเลนส์และพื้นที่การใช้งาน?
คุณไม่สามารถใช้เลนส์ช่วง 50 มม. ถ่ายภาพครึ่งตัวนักฟุตบอลที่อยู่อีกฟากของสนามได้ ขณะเดียวกันการนำเลนส์ช่วง 300 - 600 มม. ที่ถ่ายภาพนักฟุตบอล มาถ่ายภาพคนครึ่งตัวหรือเต็มตัว ในห้องขนาด 3 x 6 เมตรไม่ได้ เพราะเลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสสูงๆ ระยะการใช้งานก็จะต้องอยู่ห่างจากสิ่งที่คุณต้องการถ่ายภาพมากขึ้น ถ้าจะใช้เลนส์ระยะ 200 มม. ถ่ายคน ระยะห่างระหว่างกล้อง กับตัวแบบก็ต้องห่างกันประมาณ 2 เมตรขึ้นไป แล้วเลนส์ 200 มม. ที่ระยะ 2 เมตร ก็ถ่ายได้แต่หน้าคน อยากถ่ายครึ่งตัว หรือ เต็มตัว ก็ต้องถอยหลังกันอีกบาน ดังนั้นการเลือกระยะของเลนส์จึงต้องดูพื้นที่ใช้งานของคุณด้วยว่ามีพื้นที่กว้างแค่ไหน หรือดูว่าสิ่งที่คุณจะถ่ายอยู่ไกลแค่ไหน

ต้องการเลนส์รูรับแสงกว้างๆ หรือเลนส์ไวแสงไหม?
คุณต้องการถ่ายภาพในสถานที่ที่มีแสงน้อยๆ โดยไม่ใช้ขาตั้งกล้องหรือไม่ใช้แฟลชหรือเปล่า? ต้องการถ่ายภาพคนโดยให้ ฉากหลังเบลอไหม? เลนส์ที่มีรูรับแสงกว้าง เช่น 50 mm f1.8, 24-70 mm f2.8 หรือ 70-200 mm f2.8 เป็นเลนส์ที่มีรูรับแสงกว้าง ซึ่งจะทำให้ใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงได้ ช่วยให้กล้องปรับโฟกัสได้เร็วขึ้น ทำให้ฉากหลังเบลอได้มากกว่าเลนส์ที่มีรูรับแสงแคบ และเลนส์รูรับแสงกว้างยังใช้กำลังไฟจากแฟลชหรือไฟสตูดิโอน้อยกว่า

ต้องการเลนส์จากผู้ผลิตกล้องหรือเลนส์จากผู้ผลิตอื่น?
ผู้ผลิตกล้องไม่ว่าจะเป็น Canon, Nikon, Pentax, Olympus, Sony นอกจากจะผลิตกล้องแล้ว ยังผลิตเลนส์ด้วย ทางเลือกที่ง่ายที่สุด ก็คือใช้เลนส์จากผู้ผลิตกล้อง ใช้กล้อง Canon ก็ใช้เลนส์ Canon ไป ใช้กล้อง Nkon ก็ใช้เลนส์ Nikon ไป ไม่ต้องคิดเรื่องจะนำ เลนส์ของกล้องยี่ห้อหนึ่งมาใช้กับกล้องอีกยี่ห้อหนึ่ง เพราะต่างฝ่ายต่างออกแบบเม้าท์กล้อง เม้าท์เลนส์ไม่เหมือนกัน
นอกจากเลนส์ยี่ห้อเดียวกับกล้องแล้ว ยังมีเลนส์จากผู้ผลิตเลนส์อย่าง Sigma, Tamron, Tokina ผลิตเลนส์สำหรับกล้อง DSLR มาเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง ซึ่งเลนส์เกรดโปรบางรุ่น มีราคาถูกกว่าเลนส์จากผู้ผลิตกล้อง แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมีเลนส์ที่ใช้กับกล้อง Canon กับ Nikon ซะเป็นส่วนใหญ่ และสิ่งที่คุณต้องไม่ลืมคือ กล้องคุณใช้เม้าท์เลนส์แบบไหนก็ต้อง ใช้เลนส์ที่มีเม้าท์ตรงกับแบบ เม้าท์ของตัวกล้อง

ความเร็วในการโฟกัสจำเป็นสำหรับคุณไหม?
เลนส์ของกล้อง DSLR มีทั้งแบบ Manual Focus ที่ต้องปรับโฟกัสด้วยมือ และแบบ Auto Focus ที่มีมอเตอร์ปรับโฟกัสให้ และยัง สามารถปรับโฟกัสด้วยมือได้ สำหรับเลนส์ออโต้โฟกัสที่ใช้มอเตอร์ปรับโฟกัสนั้นก็จะมีทั้งแบบธรรมดาและแบบ ความเร็วสูง โดยแบบธรรมดาจะมีเสียงขณะปรับโฟกัสค่อนข้างดัง และปรับโฟกัสได้ค่อนข้างช้า ส่วนมอเตอร์แบบความเร็วสูงจะโฟกัส ได้เร็วกว่า เงียบกว่า
เลนส์ Canon รุ่นที่ใช้มอเตอร์ความเร็วสูงก็จะมีอักษร USM (Ultra Sonic Motor) ระบุเอาไว้ เช่น Canon EF 70-200 F2.8 L USM, Canon EF 17-40 F4 L USM ส่วนเลนส์ Nikon ก็จะเป็นเลนส์เมาท์แบบ AF-S โดยเลนส์เม้าท์แบบ AF-S จะใช้มอเตอร์ SWM (Silent Wave Motor) เลนส์ Nikon ที่มีตัวอักษร AF-S ระบุไว้ก็หมายถึงเลน์ที่ใช้มอเตอร์ SWM ช่วยในการปรับโฟกัสนั่นเอง
เลนส์ยี่ห้ออื่นที่ใช้มอเตอร์ความเร็วสูงก็มีของ Sigma ซึ่งเรียกว่า HSM (Hyper Sonic Motor) เลนส์ Olympus ก็มี SWD (Supersonic Wave Drive) ซึ่งก็เป็นเลนส์ที่โฟกัสได้เร็ว และเงียบ แต่ก็ต้องจับคู่กับกล้องรุ่นโปรอย่าง Olympus E-3 ของ Sony ก็มี SSM (Supersonic-wave Motor) เลนส์ที่ใช้มอเตอร์ความเร็วสูงในการปรับโฟกัส จะช่วยให้ปรับโฟกัส ได้เร็วขึ้น และเสียง การปรับโฟกัสจะเงียบ อย่างไรก็ตามความเร็วในการปรับโฟกัสจะขึ้นอยู่กับสภาพแสง คอนทราสต์ และที่สำคัญก็คือตัวกล้องด้วย

คุณภาพของภาพถ่ายจำเป็นสำหรับคุณหรือเปล่า?
หลายคนชอบเลนส์ที่ให้ความคมชัด ให้คอนทราสต์สูง (แล้วยังมาตะบี้ตะบันปรับพารามิเตอร์ในตัวกล้องหรือใช้ฟิลเตอร์ Unsharp Mask ในโปรแกรมแต่งภาพ เพิ่มความชัดอีก จะเอาชัดไปถึงไหน? แล้วเรื่องการเกิดภาพที่บิดเบี้ยวหล่ะ ไหนจะมีเรื่องแสงแฟลร์ อีก และการเกิดสีเหลื่อม เช่น เกิดแถบสีม่วงหรือแดงเวลาถ่ายภาพทิวทิวทัศน ซึ่งจะเห็นได้ เมื่อขยายภาพใหญ่ หรือสีรุ้งบนเสื้อผ้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดกับเลนส์ซูมราคาประหยัด ถ้าคุณให้ความสำคัญกับคุณภาพของภาพถ่ายก็จำเป็นต้องเลือกเลนส์เกรดโปร แต่ก็ใช่ว่าเลนส์ ราคาประหยัดจะมีปัญหาไปซะทุกรุ่น หรือเลนส์เกรดโปรจะดีไปหมดทุกรุ่น เลนส์หลายรุ่นในปัจจุบัน ใช้ชิ้นเลนส์ ที่ทำให้ได้คุณภาพของภาพถ่ายดีขึ้น

วิธีดูเลนส์ระดับโปรของแต่ละยี่ห้อ
เนื่องจากเลนส์ของกล้องแต่ละยี่ห้อก็มีให้เลือกมากมาย เพื่อให้คุณดูง่ายขึ้นว่าเลนส์รุ่นไหนเป็นเลนส์โปรของแต่ละยี้ห้อก็ดูได้จาก Canon มี L ในชื่อรุ่น เช่น Canon EF 85 F11.2 L เลนส์ Nikon ก็ดูจากตัวอักษร ED ในรุ่น เช่น Nikkor 17-55 F2.8G ED เลนส์ Olympus เลนส์ระดับโปรจะเป็นเลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างสุดคงที่ เลนส์ของ Pentax ก็ดูจากอักษร DA ในชื่อรุ่น ซึ่งจะเป็นเลนส์ที่ใช้ มอเตอร์ SDM เลนส์ของ Sony ก็ดูจากอักษร G ในรุ่นของเลนส์ เลนส์ Sigma ก็ตัวอักษร EX เลนส์ Tamron ก็ตัวอักษร SP และเลนส์ Tokina ก็ดูได้จากรุ่นที่มีตัวอักษร AT-X Pro ในรุ่น

เลนส์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับกล้อง DSLR ที่มีอิมเมจเซ็นเซอร์ขนาดเล็ก
ผู้ผลิตกล้องและเลนส์ได้ผลิตเลนส์สำหรับกล้อง DSLR แบบ APS-C ที่มีขนาดของอิมเมจเซ็นเซอร์เล็กกว่าฟิล์ม (อ่านได้จากเรื่อง Image Format ) ตัวอย่างของเลนส์ที่ทำมาเพื่อกล้อง DSLR แบบ APS-C ก็เช่นเลนส์ Canon ที่เป็นเม้าท์แบบ EF-S เลนส์ Nikon ที่มีอักษร DX ในรุ่น และเลนส์ Sigma ที่มีอักษร DC ในรุ่น หากนำเลนส์ที่ออกแบบมาสำหรับกล้อง DSLR แบบ APS-C ไปใช้ กับกล้อง Full Frame ก็จะทำให้เกิดขอบภาพมืด เนื่องจากขนาดของ image circle เล็กกว่าพื้นที่ของอิมเมจเซ็นเซอร์นั่นเอง
หากคุณใช้กล้อง DSLR APS-C ที่ไม่คิดจะอัพเกรดไปเล่นกล้อง Full Frame ก็สามารถใช้เลนส์ที่ออกแบบมาสำหรับกล้อง APS-C ได้ แต่ถ้าหากมีแผนที่จะเล่น Full Frame ในอนาคต ก็ต้องดูว่าเลนส์ APS-C ที่มีอยู่จะทำอย่างไร

นี่เป็นแนวทางสำหรับคนที่อยากจะซื้อเลนส์ อ่านจบแล้วคงตัดสินใจได้ว่าเลนส์ขนาดไหน แบบไหน เหมาะกับตัวเอง บางที การเริ่มต้นจากเลนส์ราคาถูกก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี เมื่อคุณถ่ายภาพจนรู้ว่าตัวเองถนัดหรือชอบการถ่ายภาพแบบไหน ถึงเวลานั้น คำตอบเรื่องเลนส์ก็จะชัดเจนที่สุดว่าเลนส์ตัวใดเหมาะกับคุณที่สุด

100 ภาพ จากเลนส์คิท


กล้อง DSLR รุ่นเล็กมักจะขายตัวกล้องพร้อมเลนส์ เป็นการจัดชุดกล้องพร้อมเลนส์จากผู้ขาย เพื่อให้กล้องพร้อมสำหรับการใช้งาน ซึ่งเลนส์ที่จัดชุดเข้าคู่กับตัวกล้องจะเรียกกันว่า Lens Kit

เลนส์ คิทที่ถูกนำมาจัดเข้าคู่กับตัวกล้อง ส่วนใหญ่จะเป็นเลนส์ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และราคาถูก ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ซื้อมือใหม่ได้มี กล้องที่พร้อมใช้งานได้ โดยเลนส์คิทส่วนใหญ่ จะเป็นเลนส์ normal zoom ที่ให้ความคล่องตัวในการใช้งานสูง ใช้กับการถ่ายภาพ ได้หลากหลาย เหมาะกับผู้เริ่มต้นถ่ายภาพ ที่ส่วนใหญ่จะถ่ายภาพเป็นงานอดิเรก อย่างเวลา ไปเที่ยว ก็ได้ใช้กล้องถ่ายภาพ สถานที่ท่องเที่ยว ถ่ายภาพตัวเองและเพื่อนๆ หรือไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหน ก็เอากล้องมาถ่ายสัตว์เลี้ยง ถ่ายคนในครอบครัว เรียกได้ว่าเป็นเลนส์ ที่เหมาะกับสไตล์ของคนส่วนใหญ่ ที่ไม่ได้ซีเรียสกับการถ่ายภาพมากนัก หรือนักศึกษาที่เรียนถ่ายภาพ ก็ใช้ได้ไม่มีปัญหา

ตัวอย่าง ของกล้องที่จัดชุดตัวกล้องพร้อมเลนส์ก็เช่น Nikon D5000 + Lens 18-55 mm F3.5-5.6 VR หรือกล้องรุ่นสูงขึ้นมาอย่าง Nikon D90 + Lens 18-105 mm F3.5-5.6 หรือกล้อง Canon EOS 1000D + Lens EF-S 18-55 F3.5-5.6 IS หรือรุ่นสูงขึ้นมาก็เป็น Canon EOS 50D กับเลนส์ EF-S 17-85 F3.5-5.6 IS เป็นต้น

ไม่เพียงเฉพาะกล้อง Nikon หรือ Canon เท่านั้นที่จัดชุดกล้องพร้อมเลนส์คิท ยี่ห้ออื่นไม่ว่าจะเป็น Sony, Olympus, Pentax ก็จะมี ชุดกล้องพร้อมเลนส์คิทให้เลือกเช่นกัน การจัดชุดกล้องพร้อมเลนส์นั้นก็เพื่อช่วยให้คนที่ยังไม่ค่อยมีความรู้เรื่องกล้องมากนัก ได้กล้องที่เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด และที่สำคัญช่วยประหยัดงบประมาณได้มาก เมื่อมีความรู้ความชำนาญในการถ่ายภาพ มากขึ้น ก็ค่อยซื้อเลนส์เพิ่มเติม

บาง คนอาจจะสงสัยว่าทำไมผู้ขาย ไม่จัดชุดเจ๋งๆ ไปเลยทั้งกล้องทั้งเลนส์ เหตุผลง่ายสุดก็คือราคา เลนส์ที่คุณภาพสูง หรือเลนส์ที่มี รูรับแสงกว้างๆ จะมีราคาสูง มีขนาดและน้ำหนัก เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ไม่สะดวกต่อการใช้งาน การถือกล้องกับเลนส์ที่หนักเป็นกิโล ไม่ใช่เรื่องสนุกนัก ที่สำคัญคือ การถ่ายภาพต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ความชอบ และส่วนประกอบ อื่นๆ อีก ไม่ใช่มีกล้องดีเลนส์ดี แล้วคิดว่าจะได้ภาพถ่ายที่สวย

เพื่อให้คุณได้เห็นว่ากล้องกับเลนส์คิท ก็ทำให้ได้ภาพสวยๆ ได้เช่นกัน ผมได้คัดภาพมา 100 ภาพ เป็นภาพที่ถ่ายโดยใช้กล้อง Canon EOS 10D และ EOS 30D โดยมีเลนส์ที่ EF 28-90, 35-80 EF-S 18-55 ไม่มีฟิลเตอร์ UV หรือ PL ติดหน้าเลนส์ สะพาย เพียงกล้องตัวเลนส์ตัว ที่สะดวกและเบาเวลาต้องสะพายกล้องนานๆ และสำคัญที่สุดคือแฟลช หลายๆ ภาพในเซ็ตนี้ ใช้แฟลชเพื่อ ให้ได้ภาพที่สว่าง ได้สีสัน ได้คอนทราสต์ที่ดี สุดท้ายภาพที่ได้ก็ปรับแต่งเพียงง่ายๆ โดยใช้คำสั่ง Curve หรือ Levels เพื่อปรับ คอนทราสต์ของภาพถ่าย และไม่ใช้ ฟิลเตอร์ Unsharp Mask ของโปรแกรม Photoshop เพื่อเพิ่มความคมชัดของภาพถ่าย คุณภาพของภาพจะลดลงไปพอสมควร เนื่องจากการบีบอัดเพื่อให้ไฟล์มีขนาดเล็ก